Thursday, June 23, 2016

"จามเทวี' อำนาจของสตรีมอญเหนือราชบัลลังก์ ในลัทธิศักติของไวษณพนิกาย





ชื่อของโพสต์นี้ เป็นชื่อเดียวกับบทความที่เสนอแนวคิดใหม่ล่าสุด เกี่ยวแก่พระนางจามเทวี โดย สมิงอัครินทร์ แอดมินแฟนเพจ รามัญคดี ซึ่งแบ่งโพสต์เป็น ๓ ตอนใน Facebook เมื่อวันที่ ๙, ๑๐ และ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙

เป็นแนวคิดใหม่ล่าสุด ที่เกิดจากการรวบรวม-จับประเด็นจากเนื้อหา และการวิเคราะห์ทางวิชาการต่างๆ รวมทั้งจาก blog นี้ของผมเองด้วย นำมาเปรียบเทียบถึงความละม้ายเหมือนในจุดสำคัญๆ กับคัมภีร์อินเดียโบราณ ที่ให้ความสำคัญของ พระแม่หรือเทพนารี ได้อย่างน่าสนใจมาก

เรียกว่า พอผมได้อ่านก็คิดขึ้นมาทันที ว่าคนที่ไม่เล่น Facebook จะเข้าถึงบทความนี้ได้อย่างไร ก็โชคดีครับ ที่ผมได้รับความร่วมมือจากทางแฟนเพจ ให้นำบทความนี้มาเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ใน blog นี้ ซึ่งต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ต่อจากนี้ไป เป็นเนื้อหาของบทความตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วผมจึงจะวิเคราะห์ในแต่ละภาคส่วนไปนะครับ โดยผมขอตัดย่อหน้าให้ถี่ขึ้น และเน้นบางข้อความ เพื่อให้สะดวกในการอ่าน ส่วนถ้อยคำและการสะกดนั้นคงไว้ตามเดิมทุกประการ

ติดตามข้อเขียนของ สมิงอัครินทร์ ในฐานะนักวิชาการสายรามัญคดี กันได้แล้วครับ :

แม้ว่าตำนานของ พระนางจามเทวี ปฐมกษัตรีแห่งนครหริภุญไชย ที่นักประวัติศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่า พระธิดาแห่งพระเจ้ากรุงลวปุระพระองค์นี้ เป็นผู้มีเชื้อสายมอญในยุคทวารวดียังคงมีความคลุมเครืออยู่มาก

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพระนาม ที่เมื่อพยายามเทียบออกมาเป็นภาษามอญว่า "กยาม" ซึ่งแปลว่า จระเข้ แล้ว ก็ยังดูไม่ค่อยมีน้ำหนักสมที่จะเป็นพระนามแห่งสตรีผู้ทรงศักดิ์ พระองค์นี้

จนมีนักวิชาการอีกหลายท่าน เสนอว่า พระนางน่าจะเป็นเจ้าหญิงที่มีเชื้อสายจาม จากอาณาจักรจามปา อาณาจักรโบราณร่วมสมัยทวารวดี อีกอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีการอภิเษกสมรสข้ามอาณาจักรมาตั้งแต่รุ่นพระมารดา หรือแม้กระทั่งพระองค์เองอาจจะเป็นพระธิดาบุญธรรมของพระเจ้ากรุงละโว้ ที่มาจากราชสำนักจามปาก็ตาม

แต่นอกจากคุณสมบัติของพระนาง ซึ่งในจามเทวีวงศ์ ระบุว่า สุกกทันตฤาษี เป็นผู้เสนอให้ สุเทวฤาษี ไปเชิญพระองค์ไปครองเมืองแห่งใหม่ ที่ฤาษี 3 ตน (อีกตนหนึ่ง คือ สัชนาไลยฤาษี) ได้ช่วยการสร้าง ด้วยพระนางเพียบพร้อมไปด้วยชาติสมบัติ คุณธรรม ความงาม สติปัญญา เป็นเบญจกัลยานี (จามเทวีวงศ์ พงศาวดารหริภุญชัย) แล้ว ยังไม่มีใครสามารถหาสาเหตุที่ชัดเจน ถึงการตัดสินใจของ สุเทวฤาษี ว่าเหตุใด จึงเลือกเอาสตรีขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมือง แทนที่จะเป็นบุรุษตามขนบธรรมเนียมทั่วไปของชาวอุษาคเณย์โบราณ โดยเฉพาะ พระนางจามเทวี เป็นสตรีวิเคราะห์ (หม้าย) และกำลังทรงพระครรภ์อยู่ในขณะนั้น

มีสาเหตุหลายประการที่เป็นไปได้ และมีผู้นำเสนอความเห็น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะวิเคราะห์ว่า น่าจะเป็นเหตุผลทางการเมือง ระหว่างละโว้ กับอาณาจักรข้างเคียง หรือภายในราชสำนักละโว้เอง จนทำให้พระสวามี (ตำนานพื้นเมืองว่า มีพระนามว่า เจ้าชายรามราช) ต้องออกผนวช และพระองค์ก็ทรงต้องระหกระเหเร่ร่อน ในขณะที่กำลังทรงครรภ์ ไปครองเมืองที่อยู่ไกลความเจริญ และชายฝั่งทะเล อย่าง "พิงคนคร หริภุญไชย" ในขณะนั้น

อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาเรื่องจามเทวี ล่าสุด ผู้เขียนพบว่า เหตุการณ์บางตอนในตำนานจามเทวี นั้นมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ใน "อัทภุต รามายณะ" (Adbhuta Ramayana) อันเป็นเรื่อง รามายณะ อีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งเขียนขึ้นโดย วาลมีกิฤาษี (Valmiki) เช่นเดียวกันกับฉบับภาษาสันสกฤต ที่แพร่หลายในปัจจุบัน แต่แตกต่างพิสดารไปมาก

เพราะเป็นงานเขียนในลัทธิ ศักติของไวศณพนิกาย (Vaishanavi Shakti) ที่เน้นการบูชาศักติของพระวิษณุนารายณ์ คือ พระลักษมี (Lakshmi) ให้มีสถานะเท่าเทียม หรือแม้กระทั่งยิ่งใหญ่กว่า มหาเทพวิษณุ (Vishnu) ศิวะ (Shiva) และพรหม (Brahma) เสียอีก

โดยรามายณะฉบับ อัทภุทนี้ ให้ความสำคัญกับ "นางสีดา" (Sita) มากกว่าพระราม (Rama) และวีรบุรุษในรามายณะคนอื่นๆ โดยไฮไล้ท์ของเรื่องเกิดขึ้นหลังจากพระรามได้สังหาร ท้าวราพณ์ (Ravana - ทศกัณฐ์ ๑๐ เศียร) ไปแล้ว แต่กลับมี ท้าวราพณ์พันเศียร ซึ่งเป็นพี่ชาย ยกทัพมาแก้แค้นและได้สังหารพระราม พระลักษมณ์ จนสิ้นชีพในสนามรบ




นางสีดา ซึ่งออกรบด้วยก็บันดาลโทสะ กลายร่างเป็น "กาลี" (Kali) มีผิวสีดำ เปลือยกาย เข้ารบกับท้าวราพณ์พันเศียร และสามารถตัดหัวของราพณาสูรได้ แต่ด้วยความโกรธและเสียใจ ร่างกาลีของสีดานั้น ก็ยังคงหิ้วหัวของอสูร และเต้นไปรอบๆ สนามรบจนแผ่นดินทรุด กระทั่งพระมหาเทพศิวะต้องเสด็จมาทอดกายลง ให้นางกระทืบพระวรกายแทนพื้นโลก

ผลที่สุดคือ พระพรหม ต้องเสด็จมาเตือนสตินางสีดาว่า แท้จริง พระนางคือ มหิทธานุภาพของมหาเทพทั้งหมดรวมกัน พลังอำนาจของสีดานั้น อาจจะกอบกู้มนุษยโลกได้ และทำลายโลกได้ในขณะเดียวกัน และไม่มีมหาเทพองค์ใดจะสามารถใช้ฤทธาอำนาจของพระองค์ได้ หากไม่ใช้ผ่านนาง แม้มหาเทพศิวะ ยังต้องอยู่ภายใต้พระบาทของสีดา

หลังจากนั้น ทั้งพระศิวะและพระพรหม จึงร่วมกันชุบชีวิตพระราม พระลักษมณ์ให้คืนชีพมา นางสีดาจึงคลายความโกรธและโศกเศร้า กลายร่างจากกาลีกลับเป็นสีดาตามเดิม โลกจึงเข้าสู่ความผาสุข

ทั้งนี้ ผู้เขียนพบว่า เนื้อความในอัทภุทรามายณะนั้น มีรายละเอียดหลายประการคล้ายคลึงกับเรื่อง จามเทวี ซึ่งอาจจะอธิบายเทวสิทธิ์ของพระนางจามเทวีในการขึ้นครองหริภุญไชย โดยในที่นี้จะยกมาเพียงสังเขป ตามกาลวิถีในตำนานของนางกษัตริย์ทั้งสอง คือ

๑. มีชาติกำเนิดคุมเครือ อัทภุท รามายณะ ระบุว่า นางสีดา เป็นพระธิดาของ ราวณะ/ราพณ์ (ทศกัณฐ์) กับนางมณโฑ (Mondodhari) ซึ่งถือกำเนิดจาก เหตุที่นางมณโฑทรงเสวยเลือดของบรรดาพระฤาษีจากป่าทัณฑกะ (Dandaka) ที่ทศกัณฐ์ไปเที่ยวสะสมมา ผสมกับน้ำนมโคที่เหล่าสตรีได้ถวายเป็นเครื่องบูชาพระลักษมี (Lakshmi) เพื่อขอบุตร ซึ่งบรรจุอยู่ในคนโทน้ำ เนื่องจากนางมณโฑที่ต้องการฆ่าตัวตายเข้าใจผิดว่าเป็นคนโทบรรจุยาพิษ จึงยากที่จะชี้ชัดว่า นางสีดามีเชื้อสายใด ส่วนพระนางจามเทวีก็ไม่ได้ทรงพระนามอย่างรามัญ และอาจจะมิได้เป็นชาวลวปุระมาแต่เดิม ดังเหตุผลที่ได้ยกมาแล้วข้างต้น

๒. เป็นพระธิดาบุญธรรมของท้าวพญามหากษัตริย์ อัทภุท รามายณะ ระบุว่า นางสีดามีอีกชื่อหนึ่งว่า "ชนกี" (Janaki) เนื่องจากหลังจากนางได้กำเนิดขึ้น นางมณโฑเกรงว่า ท้าวราพณ์จะไม่เชื่อว่าเป็นพระธิดาของตน จึงแอบไปคลอดที่เมืองอื่น แล้วฝังไว้ ต่อมาท้าวชนก (Janaka) ทรงขุดได้จากการไถ และทรงชุบเลี้ยงให้เป็นพระธิดาบุญธรรม ส่วนตำนานพื้นบ้านชาวมอญหนองดู่ระบุว่า จามเทวีเป็นธิดาของเศรษฐีอินตา แต่พญานกคาบไป จนพระสุเทวฤาษีเห็นเข้าจึงร่ายเวทย์บันดาลให้นกปล่อยลงมาแล้วนำไปชุบเลี้ยง จนต่อมาได้ต่อแพลอยน้ำไปยังกรุงละโว้ จนได้เป็นพระธิดาบุญธรรมของพระเจ้ากรุงละโว้

๓. ทรงมีพระสวามี พระนามเดียวกันกับนางสีดา คือ "ราม"

๔. พระสวามีทรงออกผนวช ทั้งรามายณะและจามเทวีวงศ์ ระบุว่า พระสวามีของนางกษัตริย์ทั้งสองทรงออกผนวช

๕. เรื่องมีโอรสแฝด ในรามายณะสำนวนต่างๆ ระบุว่า พระรามและนางสีดามีโอรสแฝด คือ "กุศะ" และ "ละวะ" (ในรามเกียรติ์ว่า พระมงกุฎ พระลบ) เจ้าชายรามราชและจามเทวีมีพระโอรสแฝด คือ "มหันตยศ" และ "อนันตยศ"

๖. เรื่องมีพระสวามีที่อ่อนแอกว่าข้าศึก จนมเหสีต้องออกรบเอง จนได้รับชัยชนะ ในอัทภุทรามายณะระบุว่า พระรามสิ้นพระชนม์ในที่รบ เมื่อรบกับท้าวราพณ์พันเศียร นางสีดาจึงต้องออกรบเองจนสามารถสังหารพญาอสูรได้ ในตำนานจามเทวีฉบับพื้นบ้านเล่าว่า เจ้าชายรามราชไม่สามารถสู้กับทัพเจ้าชายแห่งโกสัมภีได้ จนพระนางจามเทวีต้องออกรบจนได้รับชัยชนะ และเจ้าชายแห่งโกสัมภีต้องปลงพระชนม์พระองค์เองด้วยความอับอาย

๗. เรื่องการมีทัพวานรเป็นกำลังในการรบ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ฝ่ายพระรามมีข้าทหารเป็นเหล่าวานร ซึ่งมาจาก กีษกินธ์ (Kishkindha - ขีดขิน) ซึ่งมี พญากากาศ (พาลี - Bali/Vali) เป็นกษัตริย์ และขุนพลอีก 25 ตัว พระนางจามเทวี มีพี่เลี้ยงเป็นพญาวานร นามว่า พญากากะวานร และบริวารอีก 35 ตัว

๘. เรื่องการกลายร่างเป็น กาลี กิตติ วัฒนะมหาตม์ นักโบราณคดี ผู้ศึกษาเกี่ยวกับ พระนางจามเทวี และเขียนหนังสือ "จอมนางหริภุญไชย" ระบุไว้ใน Google Blog ของเขาว่า พระครูสิริสุดาภิมณฑ์ เจ้าคณะอำเภอทุ่งหัวช้าง ในเวทีเสวนา "สืบค้นพระราชประวัติพระนางจามเทวี" ซึ่ง เพ็ญสุภา สุขคตะ ได้บันทึกไว้ใน Facebook ของเธอ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ ว่า คนเฒ่าคนแก่ มักจะบอกลูกหลานว่า อย่าเอาดอกชบาสีแดงมาใช้ในงานบุญ เพราะเป็นดอกไม้ที่พระนางจามเทวีทำคุณไสย เสียบไว้บนมาลา (หมวก) ที่ส่งไปให้ขุนหลวงวิลังคะ เพื่อให้ฤทธิ์เสื่อม จนเมื่อขุนหลวงวิลังคะพ่ายแพ้แล้ว จึงได้แช่งดอกชบานี้เอาไว้

ซึ่ง กิตติ ได้อธิบายเสริมว่า ดอกชบาแดงนี้เป็นดอกไม้ที่ชาวอินเดียใช้บูชาพระแม่กาลี ซึ่งนับถือกันมากในเบงกอล และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียมาไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐ ปี นอกจากนี้ ดอกชบายังเป็นดอกไม้ที่คนไทยภาคกลางไม่นิยมนำมาบูชาพระ เพราะเป็นดอกไม้ที่ใช้ทัดหูนักโทษประหาร ที่จะต้องถูกตัดศีรษะ ซึ่งพ้องกันกับเรื่องที่สีดากลายร่างเป็น กาลีและตัดหัวอสูร

๙. ทั้งนี้ ยังไม่รวมกับทฤษฎีที่นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และปราชญ์ชาวมอญอีกหลายท่านเสนอว่า ชาวรามัญ สืบเชื้อสายมาจากชาวอินเดียใต้ ที่อพยพมาสู่สุวรรณภูมิ ชื่อ "รามัญเทศะ" มีความหมายว่า ประเทศแห่งบุตรราม อีกทั้ง ชื่ออาณาจักรทวารวดี ก็มาจากชื่อ กรุงทวารกา ของพระกฤษณะ ในขณะที่ชื่อ กรุงอโยธยา ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณยุคขอม (มอญ ขแมร์) ก็มาจากชื่อเมืองของพระราม

ส่วนทางด้านหริภุญไชยนั้น วิฑูร บัวแดง นักวิชาการประวัติศาสตร์ชาวล้านนา เสนอว่า มีความหมายว่า "สังข์แห่งพระนารายณ์" ในขณะที่ เพ็ญสุภา สุขคตะ ผู้เชี่ยวชาญด้านหริภุญไชยศึกษา และอดีตหัวหน้าพิพิภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชยเสนอว่า หมายถึง "ชัยชนะแห่งพระนารายณ์"

ทำให้เห็นว่า นอกเหนือจากศรัทธาในพุทธศาสนา ทั้งลัทธิหินยาน และมหายานแล้ว ชาวมอญก็มีความนับถือในองค์พระวิษณุนารายณ์ ในศาสนาฮินดูมาแต่โบราณ ดังปรากฏว่ามีการขุดพบเทวรูปในศาสนาฮินดู หลายชิ้นในทั้งแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดี และในหริภุญไชย




ดังนั้น เมื่อกลับมาพิจารณาปรากฏการณ์ "ความคล้ายคลึง" ของเนื้อเรื่อง อัทภุท รามายณะ และ ตำนานจามเทวี แล้ว ทำให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้สูง ที่การขึ้นครองราชย์ปกครองอาณาจักรหริภุญไชยของพระนางจามเทวีนั้น แม้จะไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกัน และต่างกรรมต่างวาระกับ อัทภุทรามายณะ ซึ่งเขียนในสมัยปลายพุทธกาล อาจจะมีแรงขับเคลื่อนบางอย่าง ต่อสิทธิและความชอบธรรมของพระนาง

 โดยเฉพาะในสังคมประเพณีของชาวมอญ ซึ่งมีรากทางวัฒนธรรมสายหนึ่งมาจากความเชื่อในไวศณพนิกาย หากแต่อธิบายเทวสิทธิ์ และราชสิทธิ์ของพระนางด้วยความเชื่อในลัทธิ "ศักติ" ซึ่งอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียก่อนหน้านี้ หรือเข้ามาในสมัยพระนางก็เป็นได้

โดยเฉพาะคุณสมบัติหลายๆ ประการของจามเทวี ที่มีความคล้ายคลึงกับสีดาในอัทภุทรามายณะ นั่นเอง ที่อาจจะเป็นเหตุผลสนับสนุนการตัดสินใจของสุเทวฤาษีและสุกกทันตฤาษี ในการเชิญพระนางขึ้นครองเมือง ไม่นับถึงนามของสุเทวฤาษีเอง ที่ เพ็ญสุภา เสนอว่า เป็นชื่อที่มาจาก "วาสุเทพ" (Vasudev) อันเป็นชื่อเรียกของพระกฤษณะ (Krishna) ที่เหล่าพี่น้องปาณฑพ (Pandava) และเการพ (Kaurava) ใช้เรียกพระองค์ ในมหาภารตะ (Mahabarat)

ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีความเป็นไปได้ว่า หากสมมุติฐานนี้เป็นจริง ลัทธิศักติ ในประเพณีความเชื่อฝั่งฮินดูของชาวมอญ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลส่งเสริมให้สตรีชาวมอญมีบทบาทสำคัญในครอบครัวและสังคม และสามารถแสดงบทบาทผู้นำได้ โดยได้รับการยอมรับจากชายชาวมอญ ในสมัยต่อๆ มา

เช่นการขึ้นครองราชย์ของ พระนางมิจาวปุ (เชงสอบู) พระธิดาของพระเจ้าราชาธิราช เหนือราชบัลลังก์หงสาวดี ซึ่งธรรมเนียมนับถือสตรีนี้ก็ยังคงสืบทอดกันต่อมาจนแม้กระทั่ง ในสังคม และชุมชนชาวมอญในที่ต่างๆ ทั้งในประเทศไทย และรัฐมอญ ในเมียนม่าร์ปัจจุบัน ที่ยังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สตรีมอญยังค่อนข้างมีบทบาทและอำนาจในครอบครัวทัดเทียมหรือในบางกรณี มากกว่าบุรุษ มากกว่าสตรีในชาติพันธุ์ไท หรือชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อาศัยร่วมกันอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมินี้


ภาพจาก http://www.cmprice.com

ครับ, สมิงอัครินทร์จบบทความนี้ไว้ ให้เป็นอีกข้อสมมุติฐานเกี่ยวแก่พระนางจามเทวี ซึ่งโดยทรรศนะของผมเห็นว่า ข้อเสนอต่างๆ ก่อนหน้านี้ของนักวิชาการสองสามท่าน ยังไม่ประทับใจผมเท่าที่ควร (ดู บทสรุปจากเวทีเสวนาสืบค้นพระราชประวัติพระนางจามเทวี ทั้ง ๒ ตอน ที่ผมเขียนไปแล้วนะครับ)

แต่คราวนี้ผมสนใจมาก เพราะข้อสังเกต การเปรียบเทียบ และบทสรุปของเนื้อหา มันมีอะไรให้คิดไปตามแนวทางที่สมิงอัครินทร์กล่าวไว้เป็นอันมากครับ แม้ว่าจะยังมีจุดที่ขัดแย้งอยู่บ้าง ดังนี้

ประเด็นที่ ๑. คัมภีร์อัทภูต รามายณะ (Adbhuta Ramayana) ซึ่งเป็นงานเขียนในลัทธิศักติสายไวษณพนิกาย (Vaishanavi Shakti) และมีข้อมูลว่าเขียนโดยท่านมหาฤาษีวาลมีกิ ท่านเดียวกับที่เขียนคัมภีร์มหารามายณะฉบับภาษาสันสกฤตอันมีชื่อเสียงนั้น

โดยเนื้อหาที่ยกมาอ้างอิง ก็นับว่าเป็นไปได้ยากนะครับ ที่จะเป็นงานเขียนของท่านมหาฤาษีวาลมีกิที่เขียนมหารามายณะจริง

เพราะจากเนื้อหาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ในลัทธิบูชาพระแม่ลักษมี-กาลี ซึ่งเป็นลัทธิที่แยกย่อยออกมาจากไวษณพนิกาย ในยุคหลังมากครับ




ด้วยว่า ลัทธิศักติสายไวษณพนิกายนั้น ก็เป็นลัทธิที่เกิดขึ้นตามหลังนิกายศักติ ที่แยกออกมาจากศาสนาฮินดูไศวะนิกาย (Shaivism : นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด) 

โดยนิกายศักติที่ว่านี้ นับถือพระอุมา ในภาคของพระแม่ทุรคาเป็นเทพสูงสุด และมีการไปรวมลัทธิบูชาพระแม่กาลี ซึ่งเป็นลัทธิพื้นเมืองที่ใหญ่มากในอินเดียเข้ามาในนิกายนี้ด้วย

เมื่อนิกายศักติที่แยกออกจากไศวะนิกาย มีพระแม่กาลีเป็นเทพสำคัญ และได้รับความนิยมสูง จึงเกิดการแยกลัทธิศักติออกมาจากไวษณพนิกาย โดยยกย่องให้พระแม่ลักษมีเป็นเทพสูงสุดเช่นกัน 

แล้วก็ใช้วิธีเดียวกันกับนิกายศักติ (ที่นับถือพระทุรคาสูงสุด) คือไปดึงพระแม่กาลีมาอ้างอิงว่าเป็นภาคหนึ่ง หรืออวตารหนึ่งของพระแม่ลักษมี ที่เกิดจากความโกรธของพระแม่สีดา ในตำนานที่สมิงอัครินทร์กล่าวถึงนั่นละครับ

กระบวนการเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคที่นิกายใหญ่ของศาสนาฮินดู ๒ นิกาย คือ ไวษณพ และ ไศวะ มีอิทธิพลครอบคลุมอินเดียทั้งประเทศแล้ว และนิกายศักติ ก็กำลังได้รับความนิยมในระดับสูง 

ซึ่งเป็นช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ไปแล้ว หรือพูดง่ายๆ ว่า ไม่เกิน ๑,๖๐๐ มานี้มากนักหรอกครับ

ในขณะที่มหารามายณะของท่านวาลมีกินั้น มีการกำหนดอายุไว้ว่าราวๆ ๒,๔๐๐ ปีมาแล้ว

ดังนั้น อัทภูต รามายณะ จึงไม่น่าจะเขียนโดยมหาฤาษีวาลมีกิ 

และเมื่อพิจารณาจากคัมภีร์มหารามายณะทั้งหมดในอินเดีย ซึ่งมีหลายสำนวน และหลายคัมภีร์ก็ยกให้ท่านมหาฤาษีวาลมีกิเป็นผู้แต่ง แม้ว่าจะมาจากต่างยุคต่างสถานที่กัน 

ก็มีความเป็นไปได้ว่า อัทภูต รามายณะ จะเป็นคัมภีร์รุ่นหลังคัมภีร์หนึ่ง ที่เพียงแต่อ้างชื่อมหาฤาษีวาลมีกิว่าเป็นผู้แต่งเท่านั้น

ดังนั้น ผมจึงมีความเห็นว่า การที่เราไม่มีทางทราบอายุที่แท้จริงของ อัทภูต รามายณะ ก็ทำให้เป็นการยากที่จะนำมาเปรียบเทียบกับตำนานพระนางจามเทวีครับ

ประเด็นที่ ๒. การที่สมิงอัครินทร์ ดึงข้อมูลจากตำนานพระนางจามเทวีหลายฉบับ มาเปรียบเทียบกับเรื่องราวของพระแม่สีดาในมหารามายณะนั้น 

ที่จริงก็สามารถทำได้อย่างมีเหตุผล โดยที่ไม่จำเป็นต้องอ้างถึงคัมภีร์อัทภูต รามายณะก็ได้

เพราะจากมหารามายณะ ฉบับภาษาสันสกฤต ซึ่งเก่าที่สุด ก็มีเนื้อหาในส่วนนี้ให้เปรียบเทียบอย่างชัดเจนเพียงพออยู่แล้วละครับ

แล้วก็จริงอย่างที่ท่านสมิงอัครินทร์กล่าวไว้ 

ทั้งชาติกำเนิดที่คลุมเครือเหมือนกัน เป็นลูกบุญธรรมของกษัตริย์เหมือนกัน มีพระสวามีพระนามเดียวกัน พระสวามีออกผนวชเหมือนกัน มีพระโอรสแฝดเหมือนกัน 

สิ่งเหล่านี้เป็นความสอดคล้อง ระหว่างเรื่องราวของพระนางจามเทวี และพระแม่สีดาในมหารามายณะอย่างไม่อาจปฏิเสธ

แต่คุณค่าของตำนานพระนางจามเทวีบางฉบับ ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่น่ะสิครับ

เช่นกรณีของกองทัพลิง ที่ปรากฏในตำนานฉบับคุณสุทธวารี ซึ่งเป็นตำนานที่เพิ่งเรียบเรียงใหม่เพื่อระดมทุนสร้างพระราชานุสาวรีย์พระนางจามเทวีในพ.ศ.๒๕๒๕ นั้น 

มีเป็นลายลักษณ์อักษรมากน้อยเพียงใด ในตำนานพื้นบ้านฉบับอื่นๆ ที่เก่าแก่กว่าฉบับคุณสุทธวารี?

หรือว่าเป็นเพียงจินตนาการของคุณสุทธวารี ที่ได้จากรามเกียรติ์ฉบับไทย (พญากากาศ และบริวารทั้ง ๒๕-พญากากะวานร และบริวารทั้ง ๓๕) เพื่อให้สอดคล้องกับกรุงละโว้ หรือ จ.ลพบุรีในปัจจุบัน ที่มีชื่อเสียงเรื่องลิงเท่านั้น?


ภาพจาก http://ziineqx.blogspot.com

ประเด็นที่ ๓. เรื่องที่ทรงมีพระสวามีที่อ่อนแอกว่าข้าศึก จนมเหสีต้องออกรบเอง จนทำให้สมิงอัครินทร์เปรียบเทียบกับพระแม่สีดาในอัทภูต รามายณะนั้น 

ก็เป็นอีกประเด็นนะครับ ที่ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะเทียบกันได้

เพราะดังที่กล่าวแล้วว่า อัทภูต รามายณะ น่าจะเป็นคัมภีร์รุ่นหลังมากๆ 

อีกทั้งลัทธิบูชาลักษมี-กาลี ที่เป็นหัวใจหลักของคัมภีร์อัทภูต รามายณะนั้น ก็ไม่มีหลักฐานการเผยแพร่เข้ามาในเอเชียอาคเนย์ ช่วงก่อนหรือตรงกับรัชสมัยของพระนางจามเทวี 

จนผู้สนับสนุนพระนางจะอ้างเป็นเทวสิทธิ์ และราชสิทธิ์ ในการขึ้นครองราชย์ของพระนางได้นะครับ

ส่วนเรื่องการกลายร่างเป็นพระแม่กาลี ซึ่งท่านผู้เขียนบทความจับจุดสังเกตจาก บทสรุปเวทีเสวนา สืบค้นพระราชประวัติพระนางจามเทวี เรื่องที่ท่านพระครูสิริสุตาภิมณฑ์เล่าถึงดอกชบาแดง ว่าอย่านำมามาใช้ในงานบุญ 

เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่พระนางจามเทวีนำไปใช้เสียบมาลา ตอนนำไปให้ขุนวิลังคะสวม จึงเป็นดอกไม้ที่ถูกฝ่ายขุนวิลังคะสาปแช่งไว้

และผมอธิบายเพิ่มเติมว่า มีความเกี่ยวข้องกับพระแม่กาลีนั้น

ผมเพียงแต่อธิบายว่า ดอกไม้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับพระแม่กาลี ซึ่งเป็นเทวีแห่งความตาย ในขณะเดียวกัน ก็เป็นดอกไม้ที่ใช้ทัดหูนักโทษประหารในภาคกลางของไทยด้วย

พูดง่ายๆ ก็คือ ดอกชบาแดงเป็นสัญลักษณ์ของความตาย 

ตามคำบอกเล่าของท่านพระครูฯ ที่คนรุ่นเก่าห้ามนำมาไหว้พระ ก็เพราะเหตุนี้เท่านั้นละครับ

ถ้าสมิงอัครินทร์จับจุดตรงนี้ไปเชื่อมโยงกับ อัทภูต รามายณะ ก็จะทำให้ข้อสันนิษฐานในส่วนนี้อ่อนลงไปอีก

เพราะผมตั้งคำถามว่า ความเชื่อเรื่องดอกชบาแดง เป็นสัญลักษณ์ของความตายนี้ เข้ามาในคติความเชื่อของคนลำพูน ในส่วนที่เกี่ยวกับตำนานพระนางจามเทวีตั้งแต่เมื่อไหร่? 

ผมไม่ได้มองว่า เป็นความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างพระนางจามเทวี กับ พระแม่กาลี โดยตรงนะครับ

และก็อย่างที่บอกแล้ว ว่า อัทภูต รามายณะ อาจไม่ส่งอิทธิพลใดๆ มาถึงเรื่องราวของพระนางจามเทวีเลย เพราะเป็นคัมภีร์รุ่นหลัง และไม่มีหลักฐานการเผยแพร่เข้ามาในภูมิภาคนี้

ประเด็นที่ ๔. ส่วนเรื่องที่หลายภาคส่วนของตำนานพระนางจามเทวี รวมทั้งหลักฐานข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นชื่อบ้านนามเมืองต่างๆ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศาสนาฮินดูไวษณพนิกาย โดยเฉพาะในสายศักติ

ซึ่งสมิงอัครินทร์มองว่า น่าจะเข้ามาอยู่ในคติความเชื่อของชนชาติมอญโบราณ จนส่งผลให้พระนางจามเทวี และสตรีชาวมอญยุคต่อมาสามารถแสดงบทบาทผู้นำได้ 

เช่นการขึ้นครองราชย์ของ พระนางมิจาวปุ (เชงสอบู) พระธิดาของพระเจ้าราชาธิราช เหนือราชบัลลังก์หงสาวดี ซึ่งธรรมเนียมนับถือสตรีนี้ก็ยังคงสืบทอดกันต่อมาจนปัจจุบัน

เรื่องนี้ โดยส่วนตัวผมมองว่า อธิบายไม่ยากครับ

วัฒนธรรมพื้นฐานของชนชาติต่างๆ ในเอเชียอาคเนย์แต่โบราณ ไม่ว่าจะเป็นมอญ พม่า ไทย เขมร ลาว เป็นสังคมเกษตรกรรม นับถือผู้หญิงเป็นผู้นำมาแต่เดิมด้วยกันทั้งนั้น 

จนศาสนาพุทธเข้ามานี่ละครับ บทบาทของผู้หญิงจึงค่อยๆ ลดลงไป

เรียกได้ว่า เป็นลักษณะเด่นของสังคมเกษตรกรรม ไม่ว่าในเอเชียหรือทั่วโลกครับ ที่นับถือผู้หญิงเหมือนกันหมด 

ในอินเดียเองก็เป็นเหมือนกันครับ มาลดไปบ้างเมื่อศาสนาพราหมณ์ลงหลักปักฐาน โดยชนชาติอารยัน (ซึ่งเป็นพวกเร่ร่อน นับถือผู้ชายเป็นใหญ่)

แต่พอถึงยุคฮินดู บทบาทของเทพนารีพื้นเมืองต่างๆ ก็กลับรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง ดังจะเห็นได้จากนิกายศักติ

ดังนั้น มอญจึงไม่จำเป็นต้องรับคติการนับถือผู้หญิงจากอินเดียครับ

ไม่ว่าจะมีประวัติว่า มีบรรพชนซึ่งอพยพมาจากอินเดียใต้ก็ตาม

ส่วนที่ว่า เหตุใดเรื่องราวต่างๆ ของพระนางจามเทวี จึงได้สอดคล้องกับไวษณพนิกาย โดยเฉพาะมหารามายณะมากนัก?

ก็เพราะเรื่องราวของพระนางเกิดขึ้น เมื่อศาสนาฮินดูไวษณพนิกายแผ่มาถึงเมืองไทยแล้วน่ะสิครับ



พระวิษณุ จากเมืองศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี
ศิลปะทวารวดีร่วมสมัยพระนางจามเทวี ภาพจาก http://www.sujitwongthes.com

พระนางทรงมีพระสวามีเป็นผู้ครองกรุงอโยธยา ซึ่งตั้งชื่อตามเมืองพระรามในมหารามายณะ 

ด้วยเหตุนั้น พระสวามีของพระนางจึงมีตำแหน่งเป็น รามราช (เป็นตำแหน่งนะครับ ไม่ใช่ชื่อจริง) ที่ทำให้ดูเหมือนว่า ซ้ำกับชื่อของพระราม

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านสุเทวฤาษีผู้มีบทบาทสำคัญในการอัญเชิญพระนางจามเทวีขึ้นครองราชย์ ก็เป็นฤาษีอินเดียสายไวษณพนิกาย 

การวางผังเมืองหริภุญไชย ก็วางผังเป็นรูปหอยสังข์ตามเทวศาสตร์ไวษณพนิกาย แล้วก็เลยทำให้เกิดชื่อบ้านนามเมืองตามนั้น

ส่วนเรื่องที่พระสวามีออกผนวช หรือการมีพระโอรสแฝด ก็เป็นเรื่องที่พ้องกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงว่า มีการส่งอิทธิพลซึ่งกันและกันนะครับ

เพราะการออกผนวชของเจ้าชายรามราชอาจมีหลายสาเหตุ ที่อาจจะไม่ใช่เรื่องการเมืองเหมือนพระรามก็ได้ 

และการมีลูกแฝดนั้น ใครๆ ก็สามารถมีได้

ผมจึงมองว่า พระนางจามเทวีขึ้นครองราชย์ในยุคที่ศาสนาฮินดูไวษณพนิกาย กำลังมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากคติการนับถือผู้หญิงในวัฒนธรรมพื้นเมือง อันควรจะมีอยู่แล้วในภาคเหนือของไทย

ซึ่งไม่มีหลักฐานการเป็นบ้านเป็นเมือง ที่ปกครองโดยผู้นำเพศชายอย่างละโว้ หรือบรรดาแคว้นต่างๆ ในภาคกลาง และภาคใต้ของไทยขณะนั้นมาก่อน

พระนางจึงไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับ ลัทธิบูชาพระลักษมี-กาลี หรือ คัมภีร์อัทภูต รามายณะ

ซึ่งยังไม่มีหลักฐานการเข้ามาปะปน กับคติความเชื่อของชาวมอญ หรือชนชาติใดๆ ในเอเชียอาคเนย์ช่วงเวลาดังกล่าวครับ

ประเด็นที่ ๕. นอกจากจารึกสมัยทวารวดีที่ ศาลพระกาฬ จ.ลพบุรี แล้ว ยังไม่มีหลักฐานอันใดที่เป็นข้อยุติได้ว่า ชนชั้นปกครองของกรุงละโว้สมัยพระนางจามเทวีเป็นชนชาติมอญ

นักประวัติศาสตร์-โบราณคดีส่วนมาก ยังคงยอมรับความคิดที่ว่า ภาษามอญโบราณอาจถูกใช้เป็นภาษาของชนชั้นสูงในขณะนั้น โดยชนชั้นสูงเหล่านั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นชนชาติมอญ 

เช่นเดียวกับจารึกอื่นๆ สมัยทวารวดี ที่ใช้อักษรปัลลวะ โดยชนพื้นเมืองที่ไม่ใช่ชาวอินเดีย

หรือเหมือนกับจารึกอักษรขอม ตามปราสาทหินต่างๆ ในเมืองไทย ที่มิได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ผู้สร้างจารึกเหล่านั้นเป็นชนชาติเขมรโบราณ

ดังนั้น การระบุว่าพระนางจามเทวีทรงเป็นชนชาติมอญนั้น จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่ตกลงใจกันครับ 

วัฒนธรรมทวารวดีในแคว้นหริภุญไชย หรือแคว้นอื่นๆ ก็หาความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของชนชาติมอญในปัจจุบันได้ยาก 

ยิ่งชาวมอญบ้านหนองดู่ ซึ่งมีตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับพระนางจามเทวีนั้น ก็เพิ่งมามีตัวตนชัดเจนเมื่อสมัยล้านนาแล้ว




เรื่องราวของพระนางจามเทวี จึงมีพื้นฐานอยู่บนคติการนับถือผู้หญิง ซึ่งเป็นคติเดิมของชาติพันธุ์ต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในล้านนาไทยโบราณ 

โดยมีศาสนาฮินดูไวษณพนิกายที่กำลังมีบทบาทในยุคของพระนาง เป็นเครื่องสนับสนุน ดังกล่าวแล้ว

ซึ่งผมมองว่า ตรงกับแนวทางหลักของสมิงอัครินทร์ ในบทความที่ได้เสนอไปแล้วทั้งหมด ทั้งๆ ที่ท่านผู้เขียนบทความมองคนละจุด ยึดหลักฐานคนละส่วน


และนับเป็นความก้าวหน้าทางวิชาการอีกขั้นหนึ่ง ของการศึกษา-ตีความตำนานพระนางจามเทวี ในยุคปัจจุบันนี้ครับ



………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

Wednesday, June 15, 2016

ฉลองพระองค์ของพระนางจามเทวี




ในหนังสือ จอมนางหริภุญไชย ผมเขียนไว้ว่า...

ในฐานะที่ทรงเป็นกษัตริย์ยุคทวารวดีด้วยพระองค์หนึ่ง จึงคาดได้ว่า พระนางจามเทวีคงจะฉลองพระองค์คล้ายกัน หรือเปรียบเทียบกันได้กับแบบอย่างอินเดีย ซึ่งเป็นความนิยมที่มีอยู่ในสถาบันกษัตริย์เอเชียอาคเนย์โดยทั่วไปสมัยนั้น 

ลักษณะการฉลองพระองค์เช่นนี้ มีตัวอย่างจากบรรดาเทวรูปสมัยทวารวดีที่ได้มาจากที่ต่างๆ ให้พอเปรียบเทียบได้อยู่บ้างครับ เพราะฉลองพระองค์ของเทวรูปสมัยโบราณ ก็มักจะมีพื้นฐานอันเดียวกันกับฉลองพระองค์กษัตริย์ในสมัยที่สร้างเทวรูปองค์นั้นนั่นเอง    

จากตัวอย่างดังกล่าว เราจึงพอจะกำหนดได้อย่างคร่าวๆ ว่า พระนางคงทรงไว้พระเกศายาว และมุ่นมวยพระเกศาไว้เหนือท้ายทอยหรือกลางพระเศียร

พระเกศาที่ทรงรวบไว้นี้ อาจมีพวงดอกไม้หรือเกี้ยวที่ทำด้วยทองรัดเป็นปล้องๆ ประดับโดยปกติเมื่อเสด็จออกนอกที่ประทับ 

หรือถ้าทรงออกงานพิธีระดับที่ไม่สำคัญ ก็อาจจะทรงมีศิราภรณ์ทรงกรวยแบบสนองเกล้าของสมัยอยุธยาสวมครอบไว้อีกทีหนึ่งนะครับ แต่ถ้าอยู่ในที่ประทับส่วนพระองค์ อาจจะเพียงแต่ทรงเกล้าพระเกศา แล้วเสียบหวีประดับไว้อย่างสตรีอินเดียโบราณก็ได้    

ส่วนศิราภรณ์ที่เป็นขนาดใหญ่ เช่น กีรีฏมกุฎแบบอินเดียนั้น ยังไม่ปรากฏว่า มีอยู่ในภาพเจ้านายสตรีที่เป็นประติมากรรมสมัยทวารวดีเลยครับ พบอยู่แต่รูปเคารพที่เป็นบุรุษ




แต่พระนางจามเทวีก็อาจทรงใช้ศิราภรณ์ประเภทนี้ในพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ได้นะครับ เพราะว่าโดยพระราชฐานะแล้ว พระนางทรงเป็นกษัตริย์เช่นกัน บางทีพระนางจะได้ทรงศิราภรณ์ประเภทนี้ ตั้งแต่ทรงรับการราชาภิเษกขึ้นเสวยราชสมบัติในหริภุญไชยเป็นครั้งแรกแล้วก็ได้นะครับ      

สำหรับกุณฑลหรือต่างหูนั้น เราพบตัวอย่างต่างหูสมัยทวารวดีมากมาย มีทั้งทำด้วยทองคำ ดีบุก และหิน ซึ่งทั้งหมดล้วนมีน้ำหนักมาก เมื่อสวมนานๆ เข้าจะถ่วงติ่งหูให้ยาวลงมาเคลียไหล่ และจากรูปประติมากรรมทั้งบุรุษและสตรีในสมัยทวารวดี ต่างก็นิยมสวมต่างหูแบบนี้กันทั้งนั้นน่ะสิครับ


ภาพปูนปั้น คณะนักดนตรีสมัยทวารวดี พบที่โบราณสถานใน อ.คูบัว จ.ราชบุรี
แต่ละคนส่วมต่างหูที่ถ่วงหูจนยาวเคลียบ่า (คนขวาสุดหักหายไป)

จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า พระนางจามเทวีก็คงทรงใช้ต่างหูที่ว่านี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อนึกภาพแล้ว คงจะขัดความรู้สึกของคนสมัยเราแน่นอนครับ แต่ในสมัยเมื่อพันกว่าปีก่อนนั้น ถือกันว่าเป็นความงามอย่างหนึ่ง
         
อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเราโดยทั่วไปจะพากันยอมรับได้ยากก็คือ พระนางอาจจะไม่ทรงมีฉลองพระองค์สวมทับพระวรกายท่อนบน แม้ว่าจะเป็นการเสด็จออกพระราชพิธีที่ต้องทรงเครื่องใหญ่ก็ตาม
 
ด้วยเหตุที่ว่าในสมัยโบราณ  สตรีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยทั่วไปไม่นิยมสวมเสื้อครับ เพียงแต่คล้องผ้าพาดเฉวียงบ่าไว้เพื่ออวดฐานะ คือแสดงให้เห็นว่า สามารถที่จะซื้อหาผ้าดีๆ มาประดับตกแต่งร่างกายได้เท่านั้นเอง 

เนื่องด้วยในยุคบรรพกาลนั้น ผ้าไม่ใช่ของหาง่ายอย่างในสมัยของเรานะครับ ในสมัยนั้นไม่มีโรงงานทอผ้า ดังนั้นนอกจากในรั้วในวังที่มีศักยภาพพอจะจัดหาช่างทอผ้าไว้ประจำแล้ว คนธรรมดาสามัญทั่วไปแต่ละบ้านก็ต้องทอผ้ากันใช้เองทั้งนั้น ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานครับว่าจะทอได้แต่ละผืน

ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ผ้านุ่งที่จำเป็นต้องใช้กันเป็นปกติแล้ว ผ้าอื่นๆ ก็ถือเป็นของฟุ่มเฟือยทั้งนั้นละครับ


ภาพปูนปั้น เจ้าหญิงและนางกำนัล สมัยทวารวดี จากโบราณสถานใน อ.คูบัว จ.ราชบุรี
            
ในกรณีที่เป็นเจ้านายสตรีเช่นพระนางจามเทวี ถ้าพระนางจะทรงคล้องผ้า ก็ต้องเป็นผ้าชนิดดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในหริภุญไชยนคร และเป็นไปได้มากด้วยครับ ว่าจะเป็นผ้าที่สั่งซื้อมาจากต่างประเทศ แต่ก็จนใจอีกที่เราไม่อาจจะหาหลักฐานได้ว่าเป็นผ้าชนิดใด มีลวดลายหรือลักษณะอย่างไร

แต่ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันนะครับ ว่าถ้าเป็นการเสด็จออกพระราชพิธี หรือพิธีกรรมสำคัญๆ พระนางอาจจะทรงมีเครื่องประดับพระอุระที่ทำด้วยทองคำ ประเภทที่เรียกว่า ก่องนมหรือ ฉลองนม

ที่หลายท่านคงจดจำกันได้ จากภาพของพระมหาเทวีจิรประภา ในภาพยนตร์แห่งสยามประเทศเรื่อง
สุริโยไทของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล


ภาพลายเส้น เจ้านายฝ่ายเหนือยุคพระมหาเทวีจิรประภา สวมฉลองนม

ก่องนมเป็นเครื่องประดับโบราณมากครับ มีทั้งแบบโปร่งอย่างในภาพยนตร์ดังกล่าว และแบบทึบ มีใช้กันทั่วไปในตะวันออกกลาง อินเดีย โดยเฉพาะอินเดียใต้ นิยมใช้เป็นเครื่องประดับในองค์เทวรูปเทวสตรีต่างๆ อย่างแพร่หลาย

พระนางจามเทวีทรงเป็นราชนารีแห่งกรุงลวปุระ บ้านเกิดเมืองนอนของพระนางมีความสัมพันธ์กับแคว้นต่างๆ ในภาคใต้ของไทย ซึ่งก็ติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับภูมิภาคอินเดียใต้มาตั้งแต่โบราณ ก็นับว่ามีความเป็นไปได้อย่างที่กล่าวแล้วครับ ว่าพระนางจะทรงใช้เครื่องประดับพระวรกายเช่นนี้ด้วย
     
เครื่องถนิมพิมพาภรณ์อย่างอื่นที่ต้องทรงมีแน่นอนก็คือ กรองศอ ทำด้วยทองคำประดับอัญมณี ซึ่งดูเผินๆ จะเป็นแผ่นแบนยาวลงจรดกลางพระอุระ พระนางอาจจะทรงคาดเข็มขัดใต้พระอุระที่ทำด้วยทองคำประดับพลอย หรือที่เรียกกันว่า อุทรพันธะ อีกด้วย 

อุทรพันธะนี้นิยมกันมาจากอินเดียครับ ภาพปูนปั้นสตรีทวารวดีภาพหนึ่งที่พบที่ จ.นครปฐม ก็สวมอุทรพันธะที่ว่านี้ 


ภาพปูนปั้นสตรีชั้นสูงสมัยทวารวดี คาดอุทรพันธะ
พบที่เจดีย์จุลปะโทน นครปฐม

ส่วนเครื่องประดับพระกรนั้น ก็คงจะมีทั้งพาหุรัดและทองกร ซึ่งมักจะมีลวดลายเป็นช่อดอกไม้ เครื่องถนิมพิมพาภรณ์อีกอย่างคือพระธำมรงค์ น่าจะทำด้วยทองคำและมีหัวแหวนเป็นอัญมณีต่างๆ        

ดังนั้น ฉลองพระองค์ที่เป็นผ้าอย่างแท้จริงของพระนางก็คือพระภูษาทรง หรือผ้านุ่ง 

เราเห็นจากประติมากรรมสมัยทวารวดีว่า บรรดาเจ้านายสตรีมักจะทรงผ้านุ่งยาว จัดขอบชายพกที่พระโสณี และคาดเข็มขัดทับ เข็มขัดนี้ทำด้วยทองคำประดับพลอยและอัญมณีต่างๆ หรือทำอุบะห้อยเป็นแนวก็มี บางทีก็ใช้เชือกผูกรัดเป็นปมไว้ด้านหน้า


ชิ้นส่วนลายปูนปั้นรูปสตรีสมัยทวารวดี นุ่งผ้าเอวต่ำ มีจีบด้านหน้า
อายุราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ พบที่เมืองโบราณอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี 

พระภูษานั้น จะทรงใช้ผ้าทอเป็นลวดลายอย่างใด สีสันอย่างใด ก็สุดที่จะสืบค้นได้เช่นกันครับ เพราะไม่มีตัวอย่างลายผ้าไว้ในประติมากรรมต่างๆ สมัยเดียวกับพระนางเลย         

เราคาดได้ว่า พระนางคงจะทรงมีวลัยบาท หรือกำไลข้อเท้าด้วย โดยถ้าเป็นในเวลาปกติ ก็คงจะทรงสวมแบบที่เป็นห่วงทองคำ เงิน หรือสำริดแบบเรียบๆ เท่านั้น เมื่อทรงออกงานพิธีจึงจะเป็นแบบที่มีลวดลายสวยงาม


ทั้งหมดที่ผมบรรยายมานี้ หลายท่านอาจนึกไม่ออก ว่าเมื่อนำมาปะติดปะต่อกันแล้วจะเป็นอย่างไร

ผมก็คิดว่า ภาพต่อไปนี้ อาจจะพอทำให้จินตนาการได้อย่างคร่าวๆ ครับ

ที่เห็นนี้ คือ พระโพธิสัตว์ตารา (Tara) แห่ง บุโรพุทโธ (Borobudur)  อินโดนีเซีย เป็นศิลปะชวาภาคกลาง มีอายุในราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๓


พระโพธิสัตว์ตารา ที่ บุโรพุทโธ อินโดนีเซีย

ร่วมสมัยกับศิลปะศรีวิชัย ในภาคใต้ของประเทศไทย และใกล้เคียง หรือ---อาจจะเกือบเป็นยุคเดียวกับรัชสมัยของพระนางจามเทวี

ไศเลนทร์วงศ์ ของชวา ผู้สร้างมหาสถูปแห่งนี้ ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ จันทรวงศ์ แหง ครหิ หรือ ไชยา อันเป็นราชวงซ์ของเจ้าชายรามราช พระภัสดาของพระนางจามเทวี

จึงเป็นไปได้นะครับ ว่า แบบอย่างฉลองพระองค์จริงๆ ของพระนางจามเทวี อาจจะคล้ายกับในภาพนี้ในหลายๆ ส่วน

เพราะศิราภรณ์ เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ และฉลองพระองค์ ของเทวรูปในยุคโบราณ มักจะเป็นแบบเดียวกับที่กษัตริย์ และราชนารีในยุคเดียวกันนั้นทรงสวมใส่ แบบเต็มยศครับ      

ดังนั้น แบบอย่างฉลองพระองค์ที่ปรากฏบนพระรูป ณ พระราชานุสาวรีย์ซึ่ง อ.สุภร ศิระสงเคราะห์ ได้ออกแบบขึ้นในสมัยปัจจุบัน จึงมีหลายส่วน ที่น่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงอยู่บ้างเหมือนกันละครับ 


ภาพจาก http://www.nmt.or.th

เพียงแต่ด้วยปัจจัยแวดล้อมหลายๆ อย่าง บางสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วว่าของจริงเป็นอย่างไร ผู้ออกแบบก็ไม่อาจนำมาใช้กับพระรูปได้ เช่นการเปลือยท่อนบน  เป็นต้น      

แต่ อ.สุภรก็พยายามแสดงให้เห็นเช่นกันว่า ได้พยายามออกแบบพระรูปนี้ โดยเคารพต่อข้อเท็จจริงดังกล่าว

ในขณะเดียวกับที่ท่านประนีประนอม ต่อผู้ซึ่งอาจเห็นตรงกันข้าม ด้วยการเพิ่มขอบแขนเสื้อเข้าไปเหนือพาหุรัด กับสาบเสื้อที่ผ่ากลางโดยตลอด ทำให้แลดูเหมือนว่า ทรงฉลองพระองค์อย่างเบาบาง และเข้ารูป 

เพียงเท่านี้ ก็สามารถปิดปากบรรดานักวิจารณ์ ซึ่งหวาดกลัวการที่จะเห็นเทวรูปเปลือยอก ยิ่งกว่าจะพึงตระหนักรู้ว่า การซื่อสัตย์กับความเป็นจริงของยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปนั้น จะเป็นประโยชน์อันมหาศาลเพียงใดในภายภาคหน้า 

การซื่อสัตย์กับความเป็นจริงทางวัฒนธรรม และโบราณคดีนั้น อย่างน้อยที่สุด ก็จะทำให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา เติบโตขึ้นมาอย่างรู้แจ้งเห็นจริงในรากเหง้าความเป็นมาของตนเอง โดยไม่ถูกบดบังด้วยอคติ หรือทิฐิส่วนบุคคลของใครคนใดคนหนึ่ง ดังที่เป็นกันอยู่ในยุคสมัยของเราขณะนี้นะครับ

ความจริง ถ้า อ.สุภรจะเฉลียวใจว่า ในยุคของพระนางจามเทวี จะมีการใช้ก่องนมกันแล้ว ท่านก็อาจจะออกแบบพระรูปนี้ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเสี่ยงกับการวิพากษ์วิจารณ์มากนัก

แต่เรื่องนี้คงยังไม่มีใครคิดถึงในพ.ศ.๒๕๒๔ ที่มีการออกแบบพระรูปหรอกครับ เพราะผมเองยังเพิ่งมาคิดได้หลังจากตีพิมพ์ จอมนางหริภุญไชย ไปถึง ๕ ครั้งแล้วด้วยซ้ำ

แต่อย่างน้อย การปิดปากบรรดานักวิจารณ์เช่นนี้ ก็ทำได้อย่างแนบเนียนจนไม่มีใครสงสัยว่า เสื้อแขนสั้นผ่ากลางที่ตัดเข้ารูป และเก็บชายไว้ในผ้านุ่งเช่นนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดเมื่อ ๑,๓๐๐ ปีก่อน

เพราะมันเป็นไปไม่ได้ครับ ในสมัยนั้น ไม่มีเทคนิคการตัดเสื้อให้เป็นไปตามรูปแบบที่ว่านี้ได้เป็นอันขาด 

แต่ถึงอย่างไร ผู้ที่มีพื้นฐานทางศิลปะเพียงพอ ก็ย่อมสังเกตได้ว่า อ.สุภรมิได้พยายามปิดบังความจริงในเรื่องนี้อย่างเต็มที่เท่าใดนัก

เพราะเหตุว่า ถ้าเพียงแต่ลบส่วนที่เป็นขอบแขนเสื้อ กับสาบเสื้อ (ซึ่งทบเข้ากันได้โดยไม่มีกระดุม
?) ออกไปเสีย ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยละครับว่า พระรูปนี้ฉลองพระองค์ตรงตามแบบแผนประเพณีนิยมของสตรีชั้นสูงสมัยทวารวดีแทบทุกประการ

และเป็นการแต่งกายที่งามสง่า จนไม่อาจปฏิเสธได้เลยทีเดียวละครับ 

หากใครที่คาดหวังว่า จะได้เห็นฉลองพระองค์อันงดงามนี้แบบเดิมๆ เต็มๆ เมื่อไปสักการบูชาพระองค์ท่านที่พระราชานุสาวรีย์ ก็อาจจะต้องผิดหวัง เพราะมักจะมีคนเอาผ้าสไบหลากสี และเต็มไปด้วยความฉูดฉาด ขึ้นไปห่มองค์ท่านจนมิดอยู่เสมอๆ

บรรดาผ้าเหล่านี้ ซึ่งควรจะใช้กับลิเกมากกว่าพระรูปนั้น ไม่ต้องไปหาจากไหน มีเตรียมไว้ให้ในร้านที่ขายดอกไม้ธูปเทียน และวัตถุมงคลข้างพระราชานุสาวรีย์นั่นเอง

ความเชื่องมงายเช่นนี้ เกิดขึ้นกับพระรูปพระนางจามเทวีแทบทุกหนแห่ง ไม่ว่าในจังหวัดลำพูน หรือจังหวัดอื่นๆ ด้วย

โดยเฉพาะที่ผมเห็นมาล่าสุด คือ พระรูปที่บ่อน้ำเลี้ยง จ.ลำปาง ซึ่งก็เป็นพระรูปที่งามพอสมควรองค์หนึ่ง ปรากฏว่ามีผู้ไปถ่ายภาพมา แล้วเห็นชัดว่า มีการถวายฉลองพระองค์ทั้งเสื้อและผ้านุ่ง อันพูดได้ว่าเป็นผ้าตัดเย็บอย่างเลว ชนิดที่เอาไว้ถวายพวกผีเจ้าแม่นางไม้ นางตะเคียน หรือพวกโหงพรายต่างๆ เท่านั้นครับ

ซึ่งผมจำเป็นต้องกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า เป็นเรื่องน่าสังเวชใจอย่างที่สุด


เครดิตภาพ : Somsong Nokyu จาก G Plus

อันที่จริง ไม่เฉพาะแต่คนไทยเราเท่านั้น ทั้งคนอินเดีย และชนชาติต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด มีประเพณีถวายผ้าห่มรูปเคารพกันมาแต่โบราณ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป หรือเทวรูป นั่นคือความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธครับ

แต่ในหลักความจริงเดียวกันนั้น ก็มีเงื่อนไขอยู่ว่า การถวายผ้าห่มรูปเคารพต่างๆ นั้น เขาถวายกันเพียงปีละครั้ง หรืออย่างถี่ที่สุดก็ถวายกันตามฤดูกาล

เช่นกรณีของพระแก้วมรกต

และผ้าที่ถวายเป็นฉลองพระองค์ หรือผ้าทรงของเทวรูปนั้น คนโบราณไม่ว่าชาติใด รวมทั้งคนไทยเราแต่โบราณด้วย ยึดถือกันว่า ต้องเป็นผ้าดีที่สุดเท่าที่จะหาได้

ถ้าเป็นผ้าทอ ก็ถักทอกันอย่างประณีตเช่นผ้าที่ถวายกษัตริย์หรือเจ้านาย ถ้าเป็นผ้าปัก ก็ปักกันด้วยเทคนิคที่ซับซ้อนพิถีพิถันที่สุดเท่าที่มีอยู่

ในสมัยโบราณ ไม่มีใครเอาผ้าชั้นเลว สีสันฉูดฉาดมาถวายรูปเคารพ อย่างที่คนสมัยเราทำอยู่ เพราะเขาถือกันนักหนาว่า ถ้าถวายผ้าชั้นเลวอย่างนั้นแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าดูถูกท่าน ไม่ให้เกียรติท่าน

และการที่จะถวาย ก็ต้องดูอีกว่าเดิมเขาทำมาอย่างไร

นั่นคือ โดยปกติ ถ้ารูปเคารพนั้นมีเครื่องทรงสลักเสลามาอย่างละเอียดลอออยู่แล้ว เขาก็ไม่นิยมถวายฉลองพระองค์ หรือเครื่องประดับเพิ่มเข้าไปหรอกครับ

เขานิยมถวายผ้าและเครื่องประดับ เฉพาะกับรูปเคารพที่สร้างมาเพื่อจะรับการถวายสิ่งเหล่านั้นโดยตรง คือทำมาเป็นรูปเคารพเปล่าๆ ไม่มีเครื่องทรง ไม่ประดับตกแต่งอะไรเลย

ตัวอย่างก็คือ เทวรูปหินทรายในศิลปะเขมร ไงครับ


เทวสตรี หินทราย ศิลปะเขมรโบราณ
เป็นเทวรูปชนิดที่ทำไว้สำหรับถวายฉลองพระองค์ และเครื่องประดับ

ซึ่งเราจะเห็นชัดว่า ส่วนมากทำมาแต่องค์เปล่าๆ ศิราภรณ์ก็มีลวดลายแต่พอคร่าวๆ เครื่องประดับอื่นเช่น กรองศอ พาหุรัด ทองกร วลัยบาท ไม่ปรากฏ แม้แต่ผ้าทรง ก็ทำแค่พอเป็นโครงร่างไว้เท่านั้น

เทวรูปเหล่านี้ละครับ พอถึงเวลาที่บูชาจริง เขาจะมีผ้าจริงมาสวมทับเข้าไป ใส่เครื่องประดับจริงๆ เข้าไป ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแกะสลักลวดลายเครื่องประดับไว้บนเทวรูป

ที่สำคัญที่สุด เหตุผลในการถวายฉลองพระองค์ และเครื่องประดับแก่รูปเคารพนั้น ยังเป็นเพราะจุดประสงค์ที่ว่า ฉลองพระองค์และเครื่องถนิมพิมพาภรณ์เป็นสื่อของพลังแห่งความร่ำรวย ความอุดมสมบูรณ์ อยู่ดีกินดี

เพราะฉะนั้น จึงต้องถวายของดีที่สุด โดยผู้ถวายส่วนมากจะเป็นกษัตริย์ หรือเจ้าเมือง ซึ่งกระทำในฐานะตัวแทนของประชาชนทั้งหมด และถวายกันเฉพาะโอกาสสำคัญ ปีละครั้งหรือตามฤดูกาลเท่านั้น ไม่ใช่ถอดเข้าถอดออกเปลี่ยนใหม่กันทุกวัน

เพราะนั่นเป็นการรบกวนรูปเคารพ และถ้ารูปเคารพใดถูกรบกวนมากเกินไป รูปเคารพนั้นก็จะเสื่อมไปในที่สุดครับ

ที่กล่าวไปแล้ว คือธรรมเนียมโบราณ ที่พวกดราส่วนมากมิได้คำนึงถึง

อีกสิ่งหนึ่ง ที่พวกเราไม่คำนึงถึงกันก็คือ เราจำเป็นจะต้องแยกให้ออกว่า พระนางจามเทวีนั้น พระองค์ท่านทรงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงเหนือกว่าผี โดยเฉพาะบรรดาผีเจ้าแม่นางไม้นางตะเคียนต่างๆ

ผีเหล่านั้น มักพอใจกับการบนบานศาลกล่าว และการถวายผ้าทรงเครื่องประดับลิเก

ในขณะที่องค์พระนางจามเทวีนั้น ไม่ทรงมีความจำเป็น และไม่ต้องการอามิสใดๆ พระองค์จะทรงให้เฉพาะในสิ่งที่ควรให้ ด้วยความเมตตาที่เราไปขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าทรงให้เพราะเห็นแก่อามิสที่เราสัญญาว่าจะตอบแทน

สิ่งที่เราอธิษฐานขอจากท่าน ถ้าเราไม่สมควรได้ ท่านก็จะไม่ประทานให้ตามคำขอของเรา ป่วยการที่จะเอาอะไรไปแลกครับ

ซึ่งอย่าว่าแต่ฉลองพระองค์กำมะลอ เหมือนเครื่องแต่งตัวลิเก ต่อให้เป็นทองหยองเพชรพลอยเลอค่าแค่ไหน ก็ไม่อยู่ในสายพระเนตร สิ่งที่จะทำให้พระองค์ท่านสนพระทัย มีเพียงความดีและความบริสุทธ์ใจของเราเท่านั้นแหละครับ

ความนิยมถวายฉลองพระองค์ ถวายผ้าห่มพระรูปพระนางจามเทวี ทั้งที่ลำพูน และพระราชานุสาวรีย์ทุกหนแห่งในเมืองไทย แท้ที่จริงจึงเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ไร้ประโยชน์ในการบูชา อีกทั้งยังปิดบังความงามทางศิลปกรรมของพระรูป และทำให้ พลังในพระรูปนั้นถดถอยลง เพราะถูกรบกวนมากเกินไป

นอกจากนั้นยังทำให้เกิดความเสียหายด้วย

อย่างพระราชานุสาวรีย์ที่ลำพูน ซึ่งเป็นเหยื่อของลัทธิถวายผ้าทรงมานาน ทำให้คนในร้านค้าบริเวณนั้นต้องปีนขึ้นปีนลงพระราชานุสาวรีย์กันทุกวัน เป็นภาพอันชวนสลดสังเวช และในที่สุดทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นที่พระราชานุสาวรีย์ ซึ่งไม่ได้สร้างไว้สำหรับให้ใครมาปีนป่าย

จนเทศบาลเมืองลำพูนต้องเข้าไปบูรณะ และประกาศห้ามการถวายผ้าทรงแด่พระรูป พระราชานุสาวรีย์จึงรอดพ้นภยันตรายมาได้ แต่ภายหลังพอทางเทศบาลไม่ไปเข้มงวดกวดขัน ก็มีการเพียรพยายามถวายผ้าทรงกันอีกบ่อยๆ

จึงควรที่เราทั้งหลายจะช่วยกันรณรงค์ ให้แพร่ขยายเป็นที่รับรู้กันในหมู่ผู้บูชา และผู้ศรัทธาพระนางจามเทวีมากเท่าที่จะมากได้ว่า...

เพื่อเห็นแก่ความศักดิ์สิทธิ์ และศิลปกรรมอันงดงามของพระรูปพระนางจามเทวี ที่ช่างชั้นครูได้ฝากฝีมือไว้

และเพื่อเห็นแก่แบบแผนธรรมเนียมโบราณ ซึ่งไม่ควรจะถูกทำลายด้วยความเข้าใจผิดและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนรุ่นเรา

ขอให้ช่วยกันงดถวายฉลองพระองค์ และผ้าทรงแก่พระรูปดังกล่าว และช่วยกันคัดค้านการกระทำเช่นนั้นทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะในจังหวัดใดทั้งสิ้นครับ


พระราชานุสาวรีย์ ที่วัดสามเงา จ.ตาก
ฝีมือปั้นหล่อดีเกือบเท่าที่ลำพูน แต่ถูกห่มผ้าจนมิดองค์

จะช่วยกันกระตุ้นเตือนไปยังเทศบาล หรือหน่วยงานใดที่เป็นผู้ดูแลพระเทวรูปดังกล่าวก็ได้ ต้องไม่อนุญาตให้ใครก็ตามปีนป่ายขึ้นไปบนพระราชานุสาวรีย์ หรือแท่นฐานที่ตั้งพระรูป เพื่อถวายผ้าทรงดังกล่าวอีก  

จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้พยายามกันมากน้อยเพียงใดนะครับ

แต่ถ้าพยายามกันมาก ผลที่ได้ อย่างน้อยก็คือทำให้องค์พระแม่กลับมาศักดิ์สิทธิ์ขึ้น

เพราะเมื่อพระรูปไม่ถูกรบกวน ด้วยการปีนขึ้นปีนลงรายวันอีกต่อไป องค์พระแม่เจ้าจามเทวีจะได้สำแดงพระบารมีผ่านพระรูปนั้น ปกปักรักษาผู้บูชา และบ้านเมืองที่ประดิษฐานพระรูปของพระองค์ ให้อยู่เย็นเป็นสุข


ถ้าเราไม่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่ถูกที่ควร แล้วเราจะเรียกร้องให้ท่านเมตตาช่วยเหลือเรา หรือบ้านเมืองของเรา ให้เป็นไปในลักษณาการที่ถูกที่ควรได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ควรคิดกันให้มากๆ ครับ



………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

Total Pageviews