Tuesday, February 16, 2016

พระนางจามเทวี การเมือง และคนบ้า


ในช่วงตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.๒๕๕๘ จนถึงต้นปี พ.ศ.๒๕๕๙ มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวแก่พระนางจามเทวี ที่น่าสนใจอยู่ ๒ เรื่อง

เรื่องแรก คือการที่ นิตยสารต่วยตูนพิเศษ ฉบับเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ตีพิมพ์บทความชื่อ พระนางจามเทวี ทรงเป็นวีรสตรีหรือเป็นนางร้ายกันแน่ของผู้ใช้นามแฝงว่า ลูกช้าง” 

ซึ่งเขียนในลักษณะของการโน้มน้าวให้คนอ่านเชื่อว่า พระนางจามเทวีเป็นนางมารร้าย ใช้ไสยศาสตร์ของสกปรกในการต่อสู้กับขุนวิลังคะ


ภาพจากคอลัมน์ถอดรหัส นิตยสารต่วย'ตูนพิเศษ


อีกเรื่องหนึ่ง คือการที่มีบุคคล หรือกลุ่มบุคคลสร้าง Fanpage ขึ้นใน Facebook ใช้ชื่อว่า ไม่เชื่อต้องลบหลู่ เพื่อดูหมิ่นเหยียดหยามสิ่งที่เป็นเรื่องลี้ลับ อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ 

แล้วในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ก็มีการโพสต์ข้อความจาบจ้วงพระนางจามเทวีอย่างลามกหยาบคาย จนไม่น่าเชื่อว่า จะมีให้เห็นบนเพจสาธารณะใดๆ บน Facebook 

รวมทั้งยังมีการลบหลู่ดูหมิ่นปูชนียบุคคลท่านอื่น ที่ชาวล้านนาทั้งปวงนับถือ ไม่ว่าจะเป็นพญามังราย หรือ ครูบาศรีวิชัย


ภาพจาก Facebook ของ ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ
ที่ capture ไว้ได้ ก่อนที่ Fanpage ไม่เชื่อต้องลบหลู่ จะหายไป

ทั้งสองกรณีนี้ ไม่เป็นข่าวที่ใหญ่พอจนได้ออกสื่อโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ แต่สร้างความไม่พอใจต่อชาวลำพูนและเชียงใหม่เป็นอย่างยิ่งครับ

แม้กระนั้นก็ตาม เมื่อ ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ ซึ่งเป็นแม่งานคนสำคัญ ในการรณรงค์ให้ชาวลำพูนต่อสู้ในทั้งสองเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ส่งจดหมายประท้วงกึ่งอธิบาย ไปยังบรรณาธิการของนิตยสารต่วยตูนพิเศษ ทางนิตยสารก็ตอบรับเพียงพิมพ์จดหมายดังกล่าว และลงข้อความขออภัยสั้นๆ อย่างเสียมิได้

ผมมองว่า ท่าทีเช่นนี้ของ นิตยสารต่วยตูนพิเศษ ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดเลยครับ

การที่บทความขยะดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ ก็เพราะเป็น ความชื่นชอบ ของบรรณาธิการอยู่แล้ว

ครั้นเห็นว่าสิ่งที่ทำไปนั้น มีกระแสต่อต้านเกิดขึ้น จะกระทบกระเทือนต่อภาพลักษณ์ของนิตยสาร จึงได้ตอบรับอย่างขอไปที 


รวมทั้งสามารถฉวยโอกาส จากการลงเนื้อหาในจดหมายของ ดร.เพ็ญสุภา ที่เขียนอธิบายเรื่องของพระนางจามเทวีอย่างยืดยาว เพื่อจะได้แสดงความรับผิดชอบด้วยข้อความปิดท้ายเพียงสั้นๆ

วิธีการเช่นนี้ ได้ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่ผู้ก่อตั้งนิตยสารดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่แล้ว

ส่วนกรณีของ Fanpage ไม่เชื่อต้องลบหลู่ เมื่อคนลำพูนส่วนหนึ่งร้องเรียนไปทาง Facebook ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับ Fanpage ดังกล่าว เพราะถือเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

ครับ, ที่ Facebook ตอบมาอย่างนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจเช่นกัน

เพราะมาตรฐานฝรั่ง ไม่มีการนับถือบุคคลในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนคนไทยเราไงครับ

เขาจึงถือว่า ใครจะนำบุคคลในประวัติศาสตร์ไปปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรก็ได้ ตามอำเภอใจ และเขาก็ทำเช่นนั้นกันเป็นปกติเสียด้วย

โชคดี ที่ผลจากการต่อสู้ของ ดร.เพ็ญสุภา และชาวลำพูน อาจจะทำให้ Fanpage ดังกล่าวถูกปิดไป

ซึ่งคงไม่ใช่เพราะ
Facebook เปลี่ยนใจหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่น่าจะเป็นเพราะ connection ระหว่าง ดร.เพ็ญสุภา กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงวัฒนธรรมมากกว่า

ดังนั้นขณะนี้ใน Facebook ผมจึงค้นเจอเพียงกลุ่มสาธารณะที่ใช้ชื่อเดียวกัน โพสต์แสดงความคิดเห็นต่ำช้าดุจเดียวกัน แต่ไม่มีเรื่องพระนางจามเทวี

ความจริง ผมเองก็ได้เข้าไปให้ความเห็นใน Facebook ของ ดร.เพ็ญสุภา ในทั้งสองกรณีเหมือนกันละครับ ในลักษณะที่ว่า ไม่ควรจะไปให้ราคาบทความของ"ลูกช้าง" หรือโพสต์ของ Fanpage ไม่เชื่อต้องลบหลู่มากนัก

เพราะในทรรศนะของผม บทความขยะเช่นนั้น เป็นเพียง ความอยากดัง ของนักเขียนคนหนึ่ง ที่ไม่รู้อะไรแล้วอวดรู้

แล้วนิตยสารต่วย
ตูนพิเศษ ก็มีเวทีให้นักเขียนประเภทนี้ ได้เผยแพร่กันเป็นปกติอยู่แล้ว

ในขณะที่ Fanpage ไม่เชื่อต้องลบหลู่ ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า "การสำเร็จความใคร่" ของคนวิกลจริตคนหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเห็นพื้นที่ Social Media เป็นที่อวดความต่ำทรามของพวกเขา เท่านั้นเอง

แต่เมื่อพิจารณา Fanpage ดังกล่าว จากคำบอกเล่าของผู้ที่ทันเข้าไปดูก่อนจะหายไป ได้ระบุถึงเนื้อหาส่วนอื่น ที่มีการโพสต์ต่อต้านวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นสถาบันทางศาสนาที่มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับกลุ่มคนเสื้อแดง 

และก็ยังคงพบเนื้อหาดังกล่าวอยู่เป็นอันมาก ในกลุ่มสาธารณะที่ใช้ชื่อเดียวกันแล้ว

ผมกลับรู้สึกว่า เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการเผยแพร่บทความจาบจ้วงพระนางจามเทวี จนเลยลามไปถึงพญามังรายและครูบาศรีวิชัยนั้น 

น่าจะเป็นผลที่ "บานปลาย" มาจากปฐมเหตุ คือ เรื่องการเมือง เสียแล้วครับ

เรื่องการเมือง ที่สร้างสารพัดปมปัญหาเรื้อรังในเมืองไทยของเราตลอดมา และยังแก้ไม่ตกกันในทุกวันนี้ อันเกิดจากฝีมือคนเสื้อแดงไงล่ะครับ


ภาพจาก http://www.oknation.net

ที่จริง ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องการเมือง เวลาที่ต้องทำอะไรเกี่ยวกับพระนางจามเทวี 

เพราะในความศรัทธาส่วนตัวของผม พระองค์ท่านทรงอยู่ในทิพยฐานะที่สูงส่งเหนือการเมือง และโมหะจริตใดๆ ของมนุษย์ปุถุชน

แต่ในเมื่อคนเสื้อแดง เขาก็ไปดึงพระองค์ท่านมาเกลือกกลั้ว กับโมหะจริตของมนุษย์ปุถุชนเสียแล้ว 

จนอีกฝ่ายที่นับถือพระองค์ท่าน (แต่ไม่เอาด้วยกับโจรเผาบ้านเผาเมือง) เริ่มคลางแคลงใจ และทำท่าจะเสื่อมศรัทธาลง เพราะพากันเข้าใจไปว่าพระองค์ท่านอยู่ฝ่ายโจร 

ตัวผมเองก็เห็นว่า จำเป็นต้องพูดความจริงกันสักทีละครับ

นับตั้งแต่การเข้ามาบริหารประเทศ ของรัฐบาลทักษิณเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๗ จนถึงการพยายามสืบทอดอำนาจผ่านรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งจบลงในที่สุด ด้วยการถูกรัฐประหารนั้น 

สิ่งหนึ่งที่เครือข่ายเสื้อแดง ได้กระทำให้เห็นอย่างชัดเจน คือการสร้างความแตกแยกร้าวฉาน ระหว่างคนภาคเหนือ-ภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายตน 

กับคนภาคกลางและภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม

ในการกระทำเช่นนี้ เครือข่ายเสื้อแดงถึงขนาดพยายามปลุกระดม ให้เกิดการแบ่งแยกประเทศ ให้ภาคเหนือของไทยกลายเป็นอีกประเทศหนึ่งต่างหาก โดยมีเมืองหลวงคือเชียงใหม่ เพื่อให้ทักษิณได้ปกครอง ในฐานะกษัตริย์ หรือประธานาธิบดีก็แล้วแต่จะสมยอมกัน


ภาพจาก http://www.oknation.net

การปลุกระดมนี้ได้กระทำกันในทุกวิถีทาง รวมทั้งในด้านการยืนยันอัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของชาวเชียงใหม่และล้านนา

ซึ่งถ้าจะพูดกันอย่างเป็นธรรมแล้วนะครับ ผมว่าเฉพาะในส่วนนี้ที่ทำๆ กันอยู่ โดยมากก็กระทำกันบนพื้นฐานทางวิชาการที่ถูกต้อง และสมควรที่จะแก้ไขกันอยู่แล้ว

เพราะที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์-โบราณคดีล้านนา ได้ถูกบิดเบือนในส่วนหลักๆ และส่วนปลีกย่อยเป็นอันมาก โดยนักวิชาการผู้วางหลักสูตรในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้เป็นไปตามระบอบฟาสซิสต์ นับตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ 

จนแม้แต่คนภาคเหนือเอง ก็รับรู้เรื่องบ้านเกิดเมืองนอนของตนอย่างผิดพลาดมาโดยตลอด

แต่ผลข้างเคียง ในการพยายามแบ่งแยกประเทศของคนเสื้อแดง ก็ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนล้านนาเคารพบูชากัน ไม่ว่าจะเป็นพระนางจามเทวี พญามังราย และครูบาศรีวิชัย ถูกกีดกันออกจากความศรัทธาของคนภาคอื่นไปอย่างช่วยไม่ได้

แน่นอนครับ, เราไม่สามารถนำความวิปริตของคนที่โพสต์ข้อความใน Fanpage ไม่เชื่อต้องลบหลู่ มาอ้างอิงในการพิจารณาเรื่องนี้

แต่คนส่วนใหญ่ ในแวดวงความเชื่อและการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองไทยรู้ดีว่า ก่อนหน้าเครือข่ายเสื้อแดงจะประกาศตั้งรัฐใหม่ ทั้งพระนางจามเทวี และครูบาศรีวิชัย ต่างก็เป็นที่เคารพนับถือของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่คนภาคเหนือเท่านั้นนะครับ

และเมื่อลำพูน และเชียงใหม่ รวมทั้งภาคเหนือ กลายเป็นพื้นที่ที่คนเสื้อแดงประกาศจะแบ่งแยกออกไปจากประเทศไทย 

การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ รวมถึงการปลุกกระแสความศรัทธาในองค์พระนางจามเทวี รวมถึงครูบาศรีวิชัย ก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธ

กรณีของพระนางจามเทวีนั้น เริ่มตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย นักวิชาการท้องถิ่นในภาคเหนือที่สนใจบทบาทของสตรี ต่างไม่ลังเลเลยที่จะเขียนบทความทางประวัติศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องราวของผู้นำที่เป็นเพศหญิง โดยยกตัวอย่างพระนางจามเทวีเป็นเบื้องแรกสุด เพื่อจะนำไปสู่การยกย่องสรรเสริญบารมีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์


น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปไหว้พระนางจามเทวีที่สวนสาธารณะหนองดอก
ภาพจาก http://www.cmprice.com

จากนั้นก็มีการพูดถึงพระนาง ในลักษณะเปรียบเทียบกับบุคคลดังกล่าวกันอยู่เสมอละครับ 

จนในที่สุด ก็ถึงกับทำให้ชาวบ้านในภาคเหนือของไทยส่วนหนึ่ง หลับหูหลับตาเชื่อกันไปเรียบร้อยแล้วว่า พระนางจามเทวีกลับชาติมาเกิดเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์

ความเชื่อใหม่ที่คนเสื้อแดงสร้างขึ้น เพียงเพื่อจะให้เป็นส่วนหนึ่งของฐานทางการเมือง ที่รองรับอำนาจของทักษิณในเมืองไทยนี้ ยังมีตัวอย่างจากการที่โหรฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ ได้หล่อพระรูปพระนางจามเทวีไว้ใน วัดพระธาตุหริภุญชัย 

รวมทั้งได้สร้างวัตถุมงคลเกี่ยวแก่พระนางขึ้นหลายรุ่น ออกเผยแพร่ผ่านวัดและการจัด event ตามห้างสรรพสินค้า ทั้งในเชียงใหม่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เป็นเครือข่ายของคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย


พระรูปที่หมอลักษณ์สร้างไว้ในวัดพระธาตุหริภุญชัย
ภาพจาก http://www.tripadvisor.com

โหรเสื้อแดงผู้นี้ แนะนำให้ประชาชนพากันไปกราบไหว้ขอพรพระนางเป็นพิเศษ เพื่อเสริมดวงชะตาราศี โดยที่เขาไม่เคยแนะนำเช่นนี้มาก่อนที่รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเข้ามาบริหารประเทศเลยครับ

บริเวณพระราชานุสาวรีย์ ที่ตลาดหนองดอก ก็มีคนเสื้อแดงพากันไปกราบไหว้พระนางมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน หลายคนขอบารมีพระนางกำจัดคนที่ต่อต้านทักษิณ และปกป้องคุ้มครองรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้บริหารประเทศไปนานๆ 

แม้แต่ร้านขายเครื่องบูชาและวัตถุมงคลในบริเวณนั้น ก็เป็นพวกเสื้อแดง

ข่าวการจัดงานบูชาพระนางจามเทวีเป็นพิธีใหญ่ โดยมวลชนเสื้อแดง ก็พลอยมีให้เห็นตามสื่อต่างๆ มากขึ้น จนแม้แต่ในช่วงปลายรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลจากผู้คนนับล้านในกรุงเทพฯ เครือข่ายเสื้อแดงก็จัดงานบวงสรวงพระนางจามเทวีที่ วัดกู่คำ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของ จ.ลำปาง เพื่อเป็นการเสริมดวงรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เผยแพร่ตามสื่อโทรทัศน์เป็นข่าวครึกโครม


ภาพจาก http://www.komchadluek.net

ซึ่งผลที่ได้รับ ก็คือรัฐบาลดังกล่าวถูกรัฐประหาร

และนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเมืองไทย ที่ถูกเปรียบเทียบกับพระนางจามเทวีมาตลอด (จนมีบางคนเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าเป็นการกลับชาติมาเกิดของพระนาง) นั้น กำลังหนีคดีที่ทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายย่อยยับ อยู่ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่เครือข่ายเสื้อแดงปลุกกระแสการบูชาพระนางจามเทวี โดยอิงกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ความศรัทธาในจอมนางพระองค์นี้ที่เคยมีให้เห็นในภาคอื่น กลับเงียบหายไปอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน

โดยเฉพาะภาคกลาง ซึ่งเคยมีให้เห็นตามวัดต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ลพบุรี และภาคใต้ ซึ่งมีนักวิชาการท้องถิ่นในนครศรีธรรมราช เคยจุดประเด็นการบูชาพระนางจามเทวีมาก่อนหน้านี้

ทั้งหลายทั้งปวง ที่ผมได้นำเสนอมานี้ ผมไม่ได้ต้องการจะกล่าวว่า เพราะคนเสื้อแดงอยากแบ่งแยกประเทศ ยกภาคเหนือให้ทักษิณปกครอง แล้วลามปามถึงขนาดไปดึงพระนางจามเทวีที่คนทั้งประเทศนับถือ มาสนับสนุนพวกตนอยู่ฝ่ายเดียว ทำให้มีคนบ้ามาเขียนบทความ หรือโพสต์ Fanpage จาบจ้วงพระนาง นะครับ

เพราะอย่างที่ผมบอกแล้ว ...แค่เศษขยะเล็กน้อยของคนอยากดัง กับคนวิกลจริต ผมไม่ให้ราคาหรอกครับ

แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วก็คือ เมื่อพระนางทรงถูกสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ให้เป็น จอมนางของคนเสื้อแดงทั้งปวง ไปเสียแล้ว

พอถึงวันหนึ่ง มีคนบ้าปัญญาอ่อนคนใดก็ตาม อยากดังด้วยการจาบจ้วงลบหลู่พระบารมีแห่งพระนาง

คนลำพูน เชียงใหม่ หรือใครที่นับถือพระนาง ก็จำต้องรวมพลังกันต่อสู้เพียงลำพัง อย่างแทบจะเรียกได้ว่า หัวเดียวกระเทียมลีบ

ไม่มีแนวร่วม หรือการแยแสสนใจแม้แต่น้อย จากคนภาคอื่นที่นับถือพระนางจามเทวี ที่ไม่ใช่เสื้อแดง

ทั้งที่ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แล้วบรรดาลูกหลานของพระนางจามเทวีทั่วเมืองไทยเข้ามารวมพลังกันอย่างจริงจัง เราอาจพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ทำให้สังคมไทยหันมาให้ความสนใจกับเรื่องราวของจอมนางพระองค์นี้กันมากขึ้น 

เกิดเป็นกระแสศรัทธาที่ชัดเจนยิ่งกว่าแต่ก่อน มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์-โบราณคดีระดับแถวหน้าของไทย เข้ามาศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ

จนในที่สุดเป็นที่ยอมรับกันอย่างแท้จริงในทางประวัติศาสตร์ไทย และมีการถวายความสำคัญแด่พระนางอย่างเป็นทางการในระดับชาติมากกว่าที่เป็นอยู่

...แต่มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ เพราะพระนางยังคงมีภาพที่ผูกพันกับคนเสื้อแดงอยู่ไงล่ะครับ

แล้วมันไม่จบแค่สองเหตุการณ์นี้หรอกครับ 

นักเขียนมักง่าย นักเลงคีย์บอร์ด ยังมีพื้นที่อีกมากมายที่จะเผยแพร่ความวิปริตของพวกเขา

และลูกหลานพระนางจามเทวีในลำพูนและเชียงใหม่ ก็คงจะต้องเหนื่อยกับการปกป้องพระเกียรติของพระนางตามลำพังกันต่อไป 

ตราบที่ยังไม่สามารถตัดการเชื่อมโยงพระนาง ออกจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ และการเมืองของคนเสื้อแดงได้อย่างเด็ดขาด

ก็นี่ไงล่ะครับ, เรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์ของพระนางจามเทวี จอมนางผู้ทรงสถาปนาความรุ่งโรจน์แห่งอารยธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกในแผ่นดินล้านนา กลับต้องมีสภาพเป็นเช่นนี้ จากความหลงผิด ไร้สติ ของคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกหลานของพระนางแท้ๆ

แถมล่าสุด ยังลามปามไปถึงพญามังราย และครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย ก็ต้องมากลายเป็นเหยื่อของพวกสวะสังคม ด้วยเหตุผลเดียวกัน

ผมไม่ทวงถามความรับผิดชอบ จากบรรดานักวิชาการ หรือหมอดู ที่มีส่วนในการนำพากระแสการบูชาพระนางจามเทวี มาถึงยุคแห่งความเสื่อมเช่นนี้หรอกนะครับ

เพราะธรรมชาติหนึ่งของการเป็นคนเสื้อแดงก็คือ ไม่เคยคิดว่าตนทำอะไรผิด และไม่เคยคิดว่าตนต้องรับผิดชอบอะไรอยู่แล้ว

การที่จะทวงถามอะไรจากคนพวกนี้ จึงเป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่า

เพียงแต่เมื่อถึงเวลาที่เขียนบทความนี้ ซึ่งความพยายามในการแบ่งแยกประเทศของมวลชนเสื้อแดงไม่สามารถกระทำอย่างเปิดเผยได้อีกต่อไปแล้ว

 ผมคิดว่าเป็นโอกาสดีนะครับ ที่ใครก็ตาม ที่นับถือพระนางจามเทวีมาอย่างยาวนาน และไขว้เขวไปบ้างจากการบิดเบือนของเครือข่ายเสื้อแดงที่ผ่านมา จะหันกลับมาบูชาพระนางอย่างจริงจังอีกครั้ง

หรือถ้าเป็นนักวิชาการ ก็ช่วยกันค้นคว้าศึกษาในเรื่องของพระนางให้มากขึ้น ไม่พากันเมินเฉย เพราะรู้สึกว่าพระนางเป็นของคนเสื้อแดงอีกต่อไป




นั่นก็เพราะว่า พระนางจามเทวีทรงเป็นความภาคภูมิของคนไทยทั้งประเทศ ไม่เพียงภาคเหนือเท่านั้นครับ คนไทยทุกภาคจึงควรมีส่วนในการเป็นลูกหลานของพระนางเท่าเทียมกัน

เหนือสิ่งอื่นใด พระนางทรงแสดงให้เห็นแล้วว่า พระนางไม่เคยทรงเห็นชอบ หรือสนับสนุนในทุกสิ่งที่เครือข่ายเสื้อแดงได้กระทำลงไปเลย ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับความฉ้อฉลอย่างร้ายแรง ยอมขายชาติบ้านเมือง ทำลายล้างได้ทุกสิ่งเพื่อให้คนตระกูลเดียวได้เสวยสุข จนถึงกับพยายามล้มล้างสถาบัน อันเป็นที่เคารพรักสูงสุดของคนไทยทั้งมวล


และใครก็ตาม ที่คิดนำพระนางมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยที่ยังไม่สำนึกตัวจนถึงเวลานี้ ก็จะต้องพากันประสบหายนะในท้ายที่สุดอย่างแน่นอนครับ


5 comments:

  1. ยุคสมัยแห่งคนบ้า ยิ่งคนบ้าเลวๆ มีอำนาจ มีเงิน ยิ่งทำให้สังคมเสื่อม

    ReplyDelete
    Replies
    1. คนอินเดียเรียกยุคนี้ว่า กลียุค ครับ เป็นยุคที่ผีนรกได้เป็นใหญ่ หรือได้มีโอกาสทำลายล้างสิ่งที่ดีงามต่างๆ โดยแท้

      Delete
  2. ไม่ไหวจะเคลียร์คะกับพวกคนเลว

    ReplyDelete
  3. ขออนุญาตไม่เห็นด้วยกับเหตุผลบางข้อนะครับ
    เรื่องของการลบหลู่พระนางเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ผมเห็นด้วยครับ
    แต่ว่า การที่ผู้เขียนจะโยงไปที่คนเสื้อแดง ดูจะนอกประเด็นไปเล็กน้อย
    แนวคิดที่ลบหลู่พระนางฯไม่ได้เกิดจากแนวคิดแยกดินแดน และไม่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ต่อต้านแนวคิดดังกล่าว
    เพจ ไม่เชื่อต้องลบหลู่ และต่วยตูนฯ ผู้เขียนก็ไม่ได้เชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝั่งอย่างไร
    อีกทั้งแนวคืดการแยกดินแดน ผมไม่เห็นด้วยนะครับ แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องว่าหากแยกดินแดน คนภาคอื่นๆจะเสื่อมความศรัทธา
    การยกบทบาทของพระนางฯมาเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องยอมรับว่านายกฯหลายคนก็ใช้อุบายเช่นเดียวกัน ใช้ตำนานเมืองมาโยงกับเรื่องราวของตนเอง

    ReplyDelete
    Replies
    1. ก่อนอื่น ผมขออภัยครับที่เข้ามาอ่านความคิดเห็นของคุณช้าไป เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีบทความใหม่จะโพสต์ ผมจะไม่เข้ามาที่ blog นี้เลยครับ ดังนั้นจึงขออภัยอย่างยิ่งที่ตอบช้า

      ประเด็นที่ผมนำเสนอในบทความ ผมได้แสดงเหตุผลไว้ครบถ้วนแล้ว จึงขอไม่อธิบายซ้ำอีก เหตุผลเหล่านั้นจะชัดเจนหรือไม่ ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านครับ

      แต่การที่คนเสื้อแดงนำพระนางมาเชื่อมโยงถึงเรื่องการเมือง จนทำให้คนที่ไม่ใช่เสื้อแดงเสื่อมศรัทธาพระนางลงนั้น เป็นสิ่งที่ผมได้พบเจอโดยประสบการณ์ตรง และไม่ใช่เจอแค่คนคนเดียวหรือกลุ่มเดียว แต่เจอเป็นอันมาก เพราะผมได้พูดคุยกับผู้อ่านหนังสือของผมอยู่เสมอครับ

      ผมจึงนำเสนอในบทความนี้ว่า เพราะเหตุนี้ เมื่อมีเพจและนิตยสารลบหลู่พระนาง การตอบโต้จากฝ่ายศรัทธาพระนางในเชียงใหม่และลำพูน จึงขาดแนวร่วมจากคนภาคอื่นและคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงไงครับ

      การที่นายกรัฐมนตรี หรือพรรคการเมือง ไม่ว่าพรรคใดก็ตาม นำสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะอดีตกษัตริย์หรือวีรชนในอดีตมาใช้ ถ้าเป็นไปเพื่อขวัญกำลังใจของประชาชนในวิกฤติการณ์ต่างๆ เช่นในยามสงคราม หรือเพื่อการพัฒนาบ้านเมือง ผมเห็นด้วย

      แต่ถ้านำมาใช้เพียงเพื่อผลทางการเมือง หรือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการแบ่งแยกดินแดน เป็นสิ่งที่ผมรังเกียจครับ

      ขอบคุณอย่างยิ่งครับ ที่เสนอแนะด้วยความนุ่มนวลอย่างยิ่ง ยินดีครับที่ได้พูดคุยกับคุณ

      Delete

Total Pageviews