รายอูงู (Ungu)
ทรงเป็นพระขนิษฐภคนีองค์สุดท้องของรายาฮิเยา ซึ่งร่ำลือกันว่า
ทรงพระสิริโฉมที่สุด
และพระนางก็ทรงเป็นกษัตริยาปัตตานีที่ต้องทรงเสียสละความสุขของพระองค์เองตั้งแต่ยังเป็นเจ้าหญิง
เมื่อพระพี่นางฮิเยาทรงมีบัญชาให้เสกสมรสกับ สุลต่านอับดุลฆอฟูร มูไฮยิดดีน
แห่งรัฐปาหัง เพื่อคานอำนาจของรัฐยะโฮร์
คู่แข่งสำคัญของนครปัตตานีเหนือคาบสมุทรมลายู
พระราชพิธีสมรสครั้งประวัติศาสตร์นี้
เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วไปทั้งในหมู่ประชาชนชาวปัตตานี
และชาวต่างชาติที่เข้ามาตั้งสถานีการค้าอยู่ในเวลานั้น
ปีเตอร์ ฟลอริส
พ่อค้าชาวอังกฤษซึ่งมากับเรือ เดอะ โกลบ (The Globe) และได้พำนักอยู่ในปัตตานีเป็นเวลานาน
ในช่วงที่อังกฤษตั้งสถานีการค้าในปัตตานี ได้บันทึกสั้นๆ ไว้ว่า
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๑๒๙ สุลต่านแห่งรัฐปาหังได้เสด็จมาถึงปัตตานี
วันที่ ๑ สิงหาคม
เราได้รับเชิญจากองค์รายาปัตตานีเพื่อไปในงานพระราชพิธีสมรสระหว่างสุลต่านปาหังกับพระชนิษฐภคินีพระองค์สุดท้องของพระนาง
พระราชพิธีหเสกสมรส เจ้าหญิงอผูงู กับ สุลต่านอับดุลฆอฟูร์ แห่งรัฐปาหัง ภาพจาก "ปืยใหญ่จอมสลัด" |
ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ว่า
ภายในพระราชหฤทัยของเจ้าหญิงอูงูนั้น
ทรงขมขื่นเพียงใดกับการที่ต้องตามเสด็จพระราชสวามีไปประทับอยู่ที่ปาหังนานถึง ๒๘
ปี แม้ว่าจะเป็นราชกิจที่เจ้าหญิงในทุกบ้านเมืองของสมัยนั้นรู้พระองค์อยู่เสมอ
ว่าต้องทรงโอนอ่อนผ่อนตามอยู่แล้วโดยพระราชฐานันดร เพื่อประโยชน์สุขของมาตุภูมิ
แต่ข้อที่แตกต่างจากเจ้าหญิงอื่นก็คือ
พระนางกับพระขนิษฐภคินีทั้งสองพระองค์นั้นเจริญพระชันษามาด้วยกัน
ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงและกลิ่นคาวเลือดในสงครามช่วงชิงราชบัลลังก์ปัตตานีมาด้วยกัน
นับว่าเป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอด
การที่ต้องมาพรากจากกันเพื่อความมั่นคงของชาติบ้านเมือง
น่าจะไม่เพียงสร้างความปวดร้าวในพระราชหฤทัยของเจ้าหญิงอูงูเท่านั้น
แต่ยังเป็นความยากลำบากที่องค์รายาฮิเยาผู้เข้มแข็ง
ต้องทรงกล้ำกลืนไว้ตลอดรัชสมัยของพระนางอีกด้วย
เกือบ ๓ ทศวรรษผ่านไป
ที่พระมเหสีอูงูมิได้มีโอกาสคืนกลับมาเยือนมาตุภูมิอีกเลย
จวบจนปลายรัชสมัยของพระพี่นางฮิเยา เมื่อสุลต่านอับดุลฆอฟูร
พระสวามีเริ่มหมางเมินต่อความสัมพันธ์ระหว่างปาหังกับปัตตานี
จนทำให้องค์รายาฮิเยาแสดงพระราชอำนาจ
ด้วยการส่งกองทัพเรือไปยังนครปาหังพร้อมกับพระราชสาส์นทูลเชิญให้สุลต่านปาหัง
พาพระมเหสีอูงูเสด็จประพาสแผ่นดินเกิด พระนางจึงได้เสด็จนิวัติพระนครเป็นครั้งแรก
พร้อมกับสุลต่านแห่งปาหัง และ เจ้าหญิงกูนิง (Kuning) พระราชธิดา
ครั้นเมื่อสุลต่านแห่งปาหังสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา
พระนางอูงูและพระราชธิดาจึงได้เสด็จกลบไปประทับที่เมืองปัตตานีอย่างถาวร
ตามพระบัญชาของรายาบีรู พระขนิษฐา
ที่ได้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์นครปัตตานีต่อจากองค์รายาฮิเยา
การที่รายาบีรูโปรดฯ
ให้พระมเหสีอูงูพาพระราชธิดากูนิงเสด็จกลับมาประทับที่ปัตตานี
ก็เพื่อทรงปฏิบัติภารกิจในฐานะเป็นเจ้าหญิงรัชทายาท
เช่นเดียวกับที่รายาฮิเยาเคยทรงกระทำมาแล้ว
แม้ว่าองค์รายาบีรูเองก็ทรงมีพระราชโอรส ๒
พระองค์กับ เจ้าชาย โต๊ะ อาโกะ หรือ ลิ้มโต๊ะเคี่ยม
แต่เหตุใดพระราชโอรสทั้งสองนั้นจึงไม่ได้เป็นรัชทายาท ยังเป็นความลับอยู่
เจ้าหญิงอูงู กับ เจ้าหญิงบีรู ใน "ปืนใหญ่จอมสลัด" |
เข้าใจว่า
อาจเป็นเพราะพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ ทรงมีเชื้อสายชาวต่างชาติ
ไม่มีความบริสุทธิ์ทางสายเลือดเท่าพระนางอูงู
ถ้าขึ้นครองราชย์อาจไม่ได้รับการยอมรับ หรือทั้งสองพระองค์อาจสิ้นพระชนม์ไปแล้วตั้งแต่ก่อน
พ.ศ.๒๑๕๗ ที่พระมเหสีอูงูกับพระราชธิดาเสด็จนิวัติพระนคร ก็เป็นได้
และองค์มเหสีอูงู
ก็ถวายความจงรักภักดีแด่พระพี่นาง โดยมิได้ทรงแข็งขืนคัดค้าน
เมื่อรายาบีรูพระราชทานเจ้าหญิงกูนิงให้หมั้นหมายกับ ออกญาเดโช
เพื่อสานสัมพันธ์กับกรุงศรีอยุธยา
ในพระราชพิธีหมั้นอันอลังการ
ระหว่างเจ้าหญิงกูนิงกับออกญาเดโช
ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาพระราชหฤทัยขององค์มเหสีม่ายแห่งรัฐปาหังได้ว่าเป็นเช่นไร
ที่บัดนี้
พระราชธิดาผู้งดงามซึ่งทรงรักเสมอแก้วตาดวงใจ
ต้องทรงมีพระชะตากรรมเช่นเดียวกับที่พระนางทรงได้รับมาตลอดระยะเวลาร่วม ๓ ทศวรรษ
กล่าวกันว่า
องค์พระมเหสีม่ายสงบนิ่งอยู่ในความเงียบ
ยอมรับพระบัญชาขององค์กษัตริยาบีรูโดยไม่มีเงื่อนไข ขณะที่เจ้าหญิงกูนิงนั้น
เยาว์พระชันษาเกินกว่าที่จะคิดถึงกาลภาคหน้าแห่งชีวิตสมรส
พระนางอูงูทรงนิ่งสงบอยู่ในหนทางแห่งการทูตเพื่อแผ่นดิน
ตราบจนสิ้นรัชสมัยของรายาบีรู
เจ้าหญิงอูงู จากภาพนตร์ "ปืนใหญ่จอมสลัด" รับบทโดย แอนนา แฮมบาวริส |
พุทธศักราช ๒๑๖๗ พระมเหสีม่ายอูงูแห่งนครปาหัง
จึงทรงได้รับสถาปนาเป็นกษัตริยาองค์ที่ ๓ แห่งราชบัลลังก์ปัตตานี
และทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๘ แห่งราชวงศ์ศรีวังสา
เวลานั้นเอง เหล่าขุนนางและพสกนิกรจึงประจักษ์แจ้งถึงความในพระราชหฤทัยของราชินีอูงูว่า
ทรงคับแค้นในพระชะตากรรมของพระราชธิดาของพระนาง และทรงเกลียดชังสยามเพียงใด
นั่นก็คือ
การที่นครรัฐปัตตานีได้ทำศึกสงครามกับกรุงศรีอยุธยาอีก
หลังจากที่ได้มีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันมาตลอดสองรัชกาลแห่งองค์ขัตติยนารี
ผู้ทรงเป็นพระขนิษฐาขององค์รายาอูงูเอง
การประกาศสงครามดังกล่าวของรายาอูงู
อาศัยเหตุจากวิกฤติการณ์ภายในของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เนื่องจาก ออกญากลาโหมสุริยวงศ์
ได้ยึดอำนาจจาก สมเด็จพระเจ้าอาทิตยวงศ์
ในพ.ศ. ๒๑๗๒ แล้วสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์มีนามว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ทำให้องค์รายาอูงูไม่ทรงยอมรับพระราชอำนาจของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในฐานะกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา
ที่ควรสืบสันตติวงศ์อย่างถูกต้องตามโบราณราชประเพณี
พระนางจึงทรงตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกรุงศรีอยุธยา
ไม่ยอมรับคำนำหน้าพระนาม “พระนางเจ้าหญิง”
ที่กษัตริย์สยามทรงเรียกขานเจ้านครหญิงของปัตตานี
ตั้งแต่รัชสมัยของพระพี่นางฮิเยา ทรงยุติการส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทอง
และเครื่องราชบรรณาการไปถวายกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทุกปีดังที่เคยเป็นมาแต่ก่อน
และหลังจากนั้น
รายาอูงูก็ทรงเตรียมพระนครเพื่อการพร้อมรบอยู่เสมอ
ทรงมีบัญชาให้สร้างกำแพงเมืองเพิ่มเติม และแนวป้องกันถึง ๑๐ ชั้น
ล้อมพระนครเพื่อป้องกันการโจมตีของกรุงศรีอยุธยา
ว่ากันว่า ป้อมปราการริมฝั่งน้ำปาปีรี ณ
เวลานั้น เรียงรายด้วยปืนใหญ่ที่พร้อมจะสาดกระสุนใส่ข้าศึกตลอดเวลา รวมทั้งปืนใหญ่
ศรีปัตตานี และ ศรีนครา ซึ่งทรงอานุภาพเลื่องลือไปทั่วคาบสมุทร
ลุถึงพ.ศ.๒๑๗๓ องค์รายาอูงูทรงทราบข่าวว่า
ทางกรุงศรีอยุธยาเตรียมการโจมตีปัตตานี
จึงทรงมีพระราชโองการให้ส่งกองทัพไปตีเมืองพัทลุง แลนครศรีธรรมราช ที่อยู่ภายใต้อำนาจของอยุธยาในขณะนั้นเพื่อตัดกำลังเสียก่อน
ชุดเกราะของเจ้าหญญิงอูงู ในภาพยนตร์ "ปืนใหญ่จอมสลัด" มีลักษณะคล้ายชุดเกราะของราลวงศ์อาหรับในยุคนั้น |
เนื่องจากถ้าทางกรุงศรีอยุธยาจะทำสงครามกับปัตตานี
ก็มักจะสั่งให้กองทัพจากนครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุงบุกปัตตานีเสมอนั่นเอง
ไม่เพียงเท่านั้น
กองทัพเรือปัตตานียังเข้ายึดเรือสินค้าอยุธยาลำหนึ่งที่กำลังเดินทางผ่านน่านน้ำปัตตานีไปชวา
พร้อมด้วยพ่อค้าฮอลันดาสองคนและลูกเรือชาวญี่ปุ่นอีก ๗ คนด้วย
และพระนางยังทรงท้าทายพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาซ้ำอีก
ด้วยการยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างเจ้าหญิงกูนิงกับออกญาเดโช
แล้วพระราชทานเจ้าหญิงกูนิงให้เสกสมรสกับ เจ้าชายยัง
ดี เปอร์ตูวัน มูดา (Yang Di Pertuwan Muda) พระราชโอรสของ
สุลต่านอับดุลยาลิล ชาห์ แห่งยะโฮร์ ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งของปัตตานี
เพื่อเป็นการลบล้างข้อบาดหมางที่เคยมีซึ่งกันและกันอีกด้วย
จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างปัตตานีกับกรุงศรีอยุธยา
ทำให้ชาติตะวันตกสองชาติที่มาทำการค้าอยู่ในอ่าวไทยและคาบสมุทรมลายูพลอยแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันไปด้วย
โดยทางฮอลันดาเข้าข้างฝ่ายสยาม ขณะที่โปรตุเกสเข้าข้างฝ่ายปัตตานี
กล่าวสำหรับโปรตุเกสแล้ว ชนชาตินี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในสงครามระหว่างรัฐต่างๆ
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลานานแล้ว
แต่สำหรับฮอลันดานั้นเพิ่งจะเป็นครั้งแรก
ทางฮอลันดาจึงถวายคำแนะนำสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ให้ทรงพยายามทำสิ่งใดก็ได้ที่จะทำให้ปัตตานีกับโปรตุเกสแตกแยกกันเสีย
เพื่อความได้เปรียบในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้า
ในขณะเดียวกัน
ฮอลันดาก็ได้เป็นผู้แทนของกรุงศรีอยุธยาในการเจรจากับทางปัตตานี
เพื่อขอเรือสินค้าที่ถูกยึดไว้คืน
กัปตัน แอนโทนี่ เคน (Anthony
Caen) ผู้คุมกองเรือสินค้าฮอลันดาจึงฉวยโอกาสนั้น
กราบบังคมทูลเกลี้ยกล่อมองค์รายาอูงู ให้ทรงเลิกติดต่อกับโปรตุเกส
รวมทั้งถวายคำแนะนำพระนาง
ให้ส่งผู้แทนไปกรุงศรีอยุธยาเพื่อสานสัมพันธไมตรีขึ้นมาใหม่
เขากล่าวว่า “การค้าขาย
ไม่อาจดำเนินไปได้เนื่องมาจากการเกลียดชังต่อประเทศสยาม”
แต่พระนางก็หาได้ทรงใส่พระทัยไม่
เมื่อการณ์เป็นไปดังนี้
ทางกรุงศรีอยุธยาจึงส่งกองทัพมายังปัตตานีอีกครั้งหนึ่งในพ.ศ.๒๑๗๕
ขณะนั้น เจ้าชายแห่งยะโฮร์พร้อมด้วยไพร่พล ๓,๐๐๐ คน เพิ่งมาถึงนครปัตตานีเพื่อจะสมรสกับเจ้าหญิงกูนิง
แต่ยังไม่ทันที่จะมีการจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส
กองทัพของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็เข้าโจมตีนครปัตตานี
ชาวปัตตานีกับชาวยะโฮร์
จึงได้ร่วมกันต่อสู้อย่างสุดความสามารถ และขับไล่กองทัพอยุธยาพ่ายแพ้กลับไป
เมื่อกองทัพสยามถอยกลับไปแล้ว
จึงมีการจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสในพระราชวังอิสตานานีลัมอย่างใหญ่โต
เป็นการฉลองชัยชนะไปในตัวด้วย
หลังจากที่อภิเษกแล้ว
พระสวามีของเจ้าหญิงกูนิงก็ทรงอยู่ช่วยราชการที่ปัตตานีระยะหนึ่ง
การได้พระราชโอรสของสุลต่านแห่งยะโฮร์เป็นพระราชบุตรเขย
ทำให้สภาพเศรษฐกิจและการเมืองของนครปัตตานีมั่นคงขึ้น แม้จะต้องเสียดินแดนไปบ้าง
แต่ก็ยังเป็นนครรัฐที่ใหญ่โต มีประชากรหนาแน่น
ดังที่พ่อค้าชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ อเล็กซานเดอร์
แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) ซึ่งมาเยือนปัตตานีในสมัยนั้นได้เขียนบันทึกว่า
นครปัตตานีมี ๔๓ แคว้น
รวมถึงตรังกานูและกลันตัน แต่เมื่อโอรสของสุลต่านโยโฮร์ได้สมรสกับบุตรีของราชินีปัตตานี
เมืองตรังกานูก็เข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของโยโฮร์
สุลต่านโยโฮร์ได้ส่งขุนนางคนหนึ่งไปปกครองที่นั้น ปัตตานีจึงเหลือ ๔๒ แคว้น...
ปัตตานีมีเมืองท่า ๒ แห่งคือ กวาลาปาตานี และกวาลาบือเก๊าะฮ์ ...
พลเมืองปัตตานีในขณะนั้นมีผู้ชายที่อายุเกิน
๑๖ ปีรวมทั้งสิ้น ๑๕๐,๐๐๐
คน...นครปัตตานีมีผู้คนหนาแน่น เต็มไปด้วยบ้านเรือน นับเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง
จากประตูพระราชวังถึงหมู่บ้านบานามีบ้านเรือนไม่ขาดสาย
ถ้าหากแมวตัวหนึ่งเดินบนหลังคาบ้านเหล่านั้น จากพระราชวังจนถึงปลายสุด
มันจะเดินได้ตลอดโดยไม่จำเป็นต้องเดินบนพื้นดินเลย...
การพ่ายแพ้ครั้งที่สองของกองทัพสยามนั้น
มีผลกระทบอย่างยิ่งต่อการเป็นศูนย์อำนาจของทางกรุงศรีอยุธยา
เมื่อสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเห็นว่า
ลำพังกองทัพอยุธยาและหัวเมืองปักษ์ใต้จะเอาชนะปัตตานีไม่ได้อย่างแน่นอนแล้ว
ก็ทรงมีพระราชโองการให้ส่งทูตไปเจรจากับบริษัทฮอลันดา
เพื่อขอความช่วยเหลือในการโจมตีปาตานี
โดยทางกรุงศรีอยุธยาแจ้งว่าจะจัดกองทัพยกไปปัตตานีทั้งทางบกและทางทะเลในเดือนธันวาคม
พ.ศ.๒๑๗๖
ซึ่งทางฮอลันดาก็ให้คำมั่นที่จะส่งเรือรบจำนวน
๕ ลำ พร้อมทหารและอาวุธสมัยใหม่ไปร่วมรบ โดยขอผูกขาดการค้าไม้ฝาง
และหนังกวางในสยามเป็นสิ่งตอบแทน
ซึ่งสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็ทรงสัญญาว่า
จะพระราชทานตามคำขอถ้าได้รับการช่วยเหลือจากฮอลันดา
เมื่อตกลงกันแล้ว สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจึงทรงมีพระราชโองการให้ออกญาพระคลัง
ออกญากลาโหม นำกองทัพม้า กองทัพช้าง ประกอบด้วยไพร่พลราว ๓๐,๐๐๐ มาตีนครปัตตานี เมื่อกองทัพดังกล่าวเคลื่อนลงมาถึงหัวเมืองปักษ์ใต้
ก็ได้รับการสนับสนุนรี้พลจากนครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุง จนมีกำลังพลมากถึง ๖๐,๐๐๐ คน
โดยในส่วนของกองทัพพัทลุงนั้น
นำทัพโดยออกญาเดโช
ผู้ผิดหวังจากการที่องค์รายาอูงูทรงยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างตัวเขากับเจ้าหญิงกูนิง
นั่นเอง
กองทัพอยุธยาและประเทศราช
ได้ยกทัพเข้าสู่ปากน้ำเมืองปัตตานีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๑๗๗
ทางสยามได้ทุ่มเทกำลังพลทั้งหมด พยายามรุกรบตีฝ่าแนวป้องกันทั้ง ๑๐
ชั้นเข้าสู่นครปัตตานี พร้อมกับกองทัพเรือเข้าโจมตีจากทางทะเล
โดยไร้วี่แววของเรือรบฮอลันดาทั้ง ๕ ลำตามที่ตกลงกันไว้
ส่วนทางปัตตานีนั้นเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว
รายาอูงูทรงออกบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง มีเจ้าชายยะโฮร์
ราชบุตรเขยพระองค์ใหม่นำทหารจากยะโฮร์ร่วมรบ
กองทัพบก และกองทัพเรือจากกรุงศรีอยุธยา
ต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของกำแพงบีรู และแนวป้องกันทั้งสิบชั้น
อานุภาพของมหาปืนใหญ่ศรีปัตตานี ศรีนครา
ที่สาดกระสุนถล่มราวกับห่าฝนทันทีที่เข้าโจมตี
รวมทั้งกองเรือรบจากยะโฮร์และปาหังกว่า ๕๐ ลำ สมทบด้วยเรือรบโปรตุเกสอีก ๔ ลำ
ที่เข้ามาช่วยปัตตานี หลอมรวมกับการขาดประสบการณ์การรบทางทะเลของทหารอยุธยา
และเสบียงที่หมดลงอย่างรวดเร็ว
เจ้าหญิงอูงู กับนายทหารราชองครักษ์ของลังกาสุกะ (ชื่อที่ในภาพยนตร์ "ปืนใหญ่จอมสลัด" ใช้แทนปัตตานี) |
ทำให้กองทัพอยุธยาได้รับความเสียหายอย่างหนัก
จนต้องถอยทัพกลับไปสงขลาในเวลาเพียง ๑๐ วันหลังจากนั้น คือวันที่ ๒๑ พฤษภาคม
พ.ศ.๒๑๗๗
ว่ากันว่า
การศึกครั้งนี้ทำให้สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงกริ้วฮอลันดามาก
พระองค์ทรงมีพระราชโองการให้กักขังพวกพ่อค้าฮอลันดาในกรุงศรีอยุธยา
และห้ามชาวสยามคนใดติดต่อค้าขายกับชาวฮอลันดาอีก
แต่ในเวลาต่อมา
ก็ด้องทรงพระราชทานอภัยโทษแก่ชาวฮอลันดา
เมื่อทรงทราบว่าทางฮอลันดาส่งเรือรบไปช่วยในสงครามปัตตานีตามที่ได้ตกลงกันไว้
แต่เรือรบฮอลันดาไปถึงช้าเกินไป คือไปถึงเมื่อกองทัพสยามถอยกลับสงขลาแล้ว
เรือรบฮอลันดาทั้ง ๕ ลำจึงต้องถอยกลับไปเช่นกัน
ในพงศาวดารปัตตานีระบุว่า
ในขณะที่กองทัพสยามยังอยู่ที่ปัตตานีนั้น
ทางฝ่ายปัตตานีได้ส่งคนปลอมตัวเป็นทหารเกณฑ์จากหัวเมืองปักษ์ใต้เข้าไปผสมกลมกลืนอยุ่ในกองทัพ
และไปช่วยกินเสบียงของทางอยุธยาด้วย จึงทำให้เสบียงของฝ่ายอยุธยาร่อยหรอไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ
การกระทำของฝ่ายปัตตานีเช่นนี้ ม.ล.มานิจ ชุมสาย เขียนไว้ใน
ประวัติศาสตร์มลายูและปัตตานี พ.ศ.๒๕๑๗ ว่า “เป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์มาเลย”
อ.บางนรา
ผู้เขียนหนังสือ ปัตตานี: อดีต-ปัจจุบัน วิจารณ์ว่า
เรื่องนี้น่าจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง เพราะกองทัพไทยอันมหึมานั้นเป็นกองทัพผสม
มีทั้งอยุธยา นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา รวมทั้งทหารมลายูที่มาจากไทรบุรีอีกด้วย
จึงเป็นการง่ายที่ชาวปัตตานีจะร่วมมือกับชาวไทรบุรีซึ่งเป็นชาวมลายูด้วยกัน
ไปสมทบกินข้าวไทยให้หมดไปเร็วๆ
๑๘ เดือนหลังการศึก รายาอูงูสิ้นพระชนม์
ทิ้งราชบัลลังก์ปัตตานีไว้ให้พระราชธิดากูนิงครอบครอง
แต่นโยบายต่อกรุงศรีอยุธยานั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย
พระราชธิดาของพระนางนั้นไม่ทรงต้องการสงคราม
จึงได้มีการเจรจาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง
โดยปัตตานียินยอมส่งเครื่องราชบรรณาการแก่สยามเหมือนเดิม
เจ้าหญิงอูงู ปลอมพระองค์ไปสืบหาตัว ลิ้มโต๊ะเคึ่ยม ใน "ปืนใหญ่จอมสลัด" |
รายาอูงูสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๑๗๘
พระนางทรงสิ้นพระชนม์ไปพร้อมกับความสำเร็จ ที่ได้ทรงกระทำให้รัฐต่างๆ
ทั่วคาบสมุทรมลายู และตลอดน่านน้ำเอเชียแปซิฟิก
ได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของนครรัฐปัตตานี
ที่สั่นคลอนอำนาจเหนือหัวเมืองปักษ์ใต้ของกรุงศรีอยุธยาได้ในสงครามใหญ่ถึง ๓ ครั้ง
ที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของกองทัพเรือมหึมาจากแผ่นดินใหญ่ทั้งสามครั้ง
จนกล่าวกันว่า ในแผ่นดินที่ ๓
แห่งปัตตานีซึ่งครอบครองโดยกษัตริย์หญิง
นครรัฐแห่งนี้ได้เข้าสู่จุดที่สมบูรณ์ทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กลางการค้าที่มั่งคั่งร่ำรวย
และแสนยานุภาพทางทหารที่ไม่เป็นรองใคร
ปัจจุบัน กุโบร์ หรือพระราชสุสานของรายาฮิเยา
รายาบีรู และรายาอูงู ยังคงปรากฏอยู่ในพื้นที่บ้านปานาเระ ต.บาราโหม อ.เมือง
จ.ปัตตานี ในสภาพของแนวกำแพงอิฐเตี้ยๆ ก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ภายในแบ่งเป็นสามช่อง
แต่และช่องตั้งใบเสมาหินจารึกชื่อองค์รายาทั้งสามไว้อย่างชัดเจน
พระราชสุสานดังกล่าวนี้
สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย ปราศจากความหรูหราใหญ่โตอัครฐานหรือแม้แต่ลวดลายประดับตกแต่งใดๆ แม้ว่าจะเป็นที่ประทับชั่วนิรันดร์
ของอดีตนางพญาผู้ทรงอำนาจในสมัยรุ่งเรืองที่สุดของนครรัฐปัตตานีก็ตาม
พระราชสุสาน ของ ๓ นางพญาแห่งปัตตานี ตามสภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน |
สถานที่ดังกล่าวเวลานี้
อยู่ไม่ไกลจากมัสยิดกรือเซะ และศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมากนัก ที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่ต่างช่วยกันดูแลรักษากันตามมีตามเ
กิด ปัจจุยันได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ด้วยการสร้างอาคารมีหลังคาคลุมไว้อย่างมั่นคง
และปรับปรุงพื้นที่โดยรอบให้ดีขึ้น เท่าที่จะจำได้แล้ว
ชาวบ้านปานาเระ
มีเพลงพื้นบ้านที่กล่าวถึงรายาทั้งสามพระองค์ เป็นภาษามลายูปัตตานีที่ไพเราะน่าฟัง
ฃึ่งยังคงขับขานกันต่อมาจนทุกวันนี้อีกด้วย
..........................
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
ขอขอบคุณ สหมงคลฟิล์ม เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพจากาพยนตร์ ปืนใหญ่จอมสลัด
ขอขอบคุณ สหมงคลฟิล์ม เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพจากาพยนตร์ ปืนใหญ่จอมสลัด