Tuesday, November 14, 2023

เจ้าจอมสดับ

บันทึกบทความเก่าของอ.กิตติ วัฒนะมหาตม์

คอลัมน์หลากหลายลีลา “ผู้หญิงในประวัติศาสตร์” หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หน้าสตรี-เด็ก 3 พฤษภาคม พ.ศ.2534 (4/4)

 

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ (ภาพจากหนังสือ “ราชพัสตราภรณ์” จัดพิมพ์โดย สำนักนายกรัฐมนตรี ๒๕๔๗) Cr, https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Chao_Chom_Mom_Rajawongse_Sadap.jpg


ก่อนจะเล่าถึงประวัติของเจ้าจอมท่านนี้ ผมคงจะต้องเรียนให้ทราบทั่วกันก่อน ว่า ผมมีเหตุผลส่วนตัวอยู่ 2 ประการ ประการแรกก็คือผมได้ยินชื่อของท่านมาตั้งแต่เริ่มหัดดนตรีใหม่ๆ ถึงแม้ว่า ครูมโหรีของผม จะไม่ได้สืบ “ทาง” มาจากในวัง ทั้งมาจากต่างจังหวัดไกลออกไปด้วยซ้ำ แต่นั่นหมายถึงว่า ชื่อเสียง เกียรติคุณของ ท่านได้ขจรขจายไปไกลและเป็นที่รู้จักกันอยู่มากทีเดียวครับ

 

ประการที่สองก็คือ ก่อนหน้านี้ไม่นานผมได้อ่านหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพของท่านที่พิมพ์โดย ม.ล.พูนแสง สูตะบุตร ก็เล่มที่ผมใช้เป็นหลักในการเขียนคราวนี้แหละ อ่านแล้วเกิดความรู้สึกสองอย่าง อย่างแรกคือ ชื่นชมใน อัตชีวประวัติที่ประกอบด้วยเกียรติคุณอย่างยิ่งของท่าน อย่างที่สองคือ ไม่พอใจที่ หนังสือดีพิมพ์มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2527 แต่ทั้งเล่มยังใหม่มากยังกับไม่ค่อยมีใครไปอ่าน ผมก็คิดเอาเองว่าถ้ามีโอกาส ผมก็อยากจะแนะนำให้เราๆ ท่านๆ ได้รู้จัก สุภาพสตรีท่านนี้เป็นพิเศษ

 

อย่างน้อย ก็ให้เห็นละครับ ว่าสตรีที่งามด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัตินั้น เขา “งาม” กันอย่างไร ขอชี้แจงเท่านี้แล้วกันนะครับ ชี้แจงพอให้คนเขียนโล่งใจด้วยไม่ใช่อะไรหรอก

 

เจ้าจอมม.ร.ว.สดับ มีชื่อเดิมว่า “สั้น” ครับ ท่านถือกำเนิดในราชสกุลที่สืบมาจาก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เป็นธิดาของหม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ ในกรมหมื่นภูมินทรภักดี และหม่อมช้อย ซึ่งมาจากสกุลนครานนท์ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2433 ที่วังกรมหมื่นภูมินทรภักดี (อยู่ที่ตำบลปากคลองตลาด ที่รู้จักกันว่า “วังท่าเตียน” นั่นละครับ) ท่านเป็นธิดาคนเดียวของหม่อมมารดา แต่ยังมีพี่น้องร่วมบิดาอีก 13 คนครับ

 

ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ 
https://www.facebook.com/NationalArchivesofThailand/photos/a.2623419837919916/2752375825024316/?type=3

ตามประวัติว่าพอท่านอายุได้ 11 ขวบ หม่อมเจ้าเพิ่มได้ทรงลาออกจากราชการ และยังทรงดำริจะย้ายครอบครัวไปประทับที่ราชบุรีด้วย เจ้าจอมมารดาจีนในกรมหมื่นภูมินทรภักดี ท่านก็ไม่อยากให้หม่อมเจ้าเพิ่ม พา “หลานสั้น”  ไปอยู่หัวเมือง จึงได้ทูลพระวิมาดาเธอฯ ขณะนั้น ดำรงพระยศเป็นพระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฎ ให้รับเข้ามาอยู่ในวังเสีย พระวิมาดาเธอฯ ก็ส่งขอต่อหม่อมเจ้าเพิ่ม และม.ร.ว.สั้นก็ได้เข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวังตั้งแต่นั้น

 

หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จหญิงพระองค์ใหญ่ (เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรมขุนพิจิตรเจษฎร์จันทร์) พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ ก็ได้ประทานนามใหม่ให้ท่านว่า “สดับ” ครับ ม.ร.ว.สดับได้รับพระอุปถัมภ์อยู่ในตำหนักของพระวิมาดาเธอฯ เยี่ยง พระญาติ กาลเวลาผ่านไปท่านเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วย รูปสมบัติ และคุณสมบัติต่างๆ คือ ความรู้ทางวิชาการ และการคหกรรมที่สุภาพ สตรีในวังสมัยนั้นต้องศึกษาเล่าเรียน ท่านก็มีความชำนาญไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานฝีมือต่างๆ หรือการประกอบอาหาร

 

อีกอย่างหนึ่งที่น่าชื่นชมก็คือ น้ำเสียงของท่านแหละครับ ตามประวัติว่าท่านมีน้ำเสียงไพเราะมาก ไพเราะแค่ไหนผมไม่เคยได้ฟัง แต่มีหลักฐานยืนยันอย่างน้อย ก็คราวหนึ่งที่พระพุทธเจ้าหลวงท่านทรงมีพระราชดำริจะให้พระวิมาดาเธอฯ ทรงจัดมโหรีขึ้นในวัง คราวนั้นปรากฏว่า ครูมโหรีทั้งหลายที่นักดนตรีไทยเรายกย่อง กันมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ครูพระประดิษฐ์ไพเราะ(ตาด), หลวงเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) และครูที่สอนขับร้องที่ปรากฏชื่อเสียงในปัจจุบันนี้เหมือนกัน เช่น หม่อมสุด, คุณเฒ่าแก่จีบ และหม่อมส้มจีน เป็นต้น ครูทั้งหลายทุกคนนี้เห็น ตรงกันว่าควรจะให้ม.ร.ว.สดับ เป็นนักร้องต้นเสียงในวงมโหรีคราวนั้น

 

แต่มูลเหตุที่ท่านจะได้ไปเป็นเจ้าจอม ไม่ได้มาจากที่ว่าท่านเป็นนักร้องเสียง เพราะในวงมโหรีเพียงอย่างเดียวหรอกครับ ท่านเคยเล่าให้คุณหมอพูนพิศ อมาตยกุลฟังว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงรู้จักคุ้นเคยและเรียกใช้ท่านมาก่อนเป็นเวลานานนักหนาแล้ว หลังจากนั้นท่านจึงได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระองค์ท่านเมื่อพ.ศ. 2448 โดยมี คุณท้าวจันทร์ (เจ้าจอมมารดาวาดในรัชกาล ที่ 4) เป็นผู้นำถวาย หลังจากนั้น จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับราชการสนองเบื้องพระยุคลบาท ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2449 ท่านได้แสดงความจงรักภักดีจนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยมาก

 

ปรากฏว่า ในวาระหนึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดงานขึ้นที่พระที่นั่งอัมพรสถาน และโปรดเกล้าฯ ให้มีละครเรื่อง “เงาะป่า” เก็บเงินคนดู เพื่อพระราชทานเป็นทุนให้ คะนัง เด็กเงาะที่อยู่ในพระอุปถัมภ์เวลานั้น ปรากฏว่างานนั้นเจ้าจอมม.ร.ว.สดับ ต้องลงคุมงานเองเป็นแม่งานแทบทุกอย่าง เพราะพระวิมาดาเธอทรงประชวร ท่าน บันทึกเล่าถึงเรื่องนี้ว่า เหนื่อยมาก เพราะต้องวิ่งเต้นเองทุกอย่าง พอถึงเวลาร้องท่านก็ต้องขึ้นไปร้องประจำโรง ร้องเสร็จก็ไปประจำที่ล้นเกล้าฯ ซึ่งประทับอยู่ใน โรงละครนั้น ละครเลิกก็ตามเสด็จไปเฝ้าฯ คอยรับใช้บนพระที่นั่งต่อไป ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับพระราชทานกำไลทองรูปตาปู มีจารึกบทพระราชนิพนธ์อันไพเราะ เป็นเยี่ยมบทหนึ่งหรือสองบทผมไม่แน่ใจนะครับ แต่ท่านใส่กำไลนี้ติดตัวอยู่เสมอ เป็นสิ่งเดียวที่ได้รับพระราชทานมาแล้ว ท่านไม่ถวายคืนดังจะเล่าต่อไปในตอนหลังครับ

 

เจ้าจอมม.ร.ว.สดับเกือบจะได้ตามเสด็จไปประพาสยุโรปใน ร.ศ.126 หรือ พ.ศ. 2450 แล้วเหมือนกันครับ ได้มีการเตรียมการไว้อย่างดีแต่ก็มีเหตุขัดข้องที่ทำให้ไม่เป็นไปตามพระราชดำริ หลังจากนั้นเมื่อเจ้าจอมม.ร.ว.สดับท่านเจริญวัยได้ 21  ปี สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงท่านก็เสด็จสู่นฤพานสวรรคตจากไป เป็นวาระที่ท่าน จะต้องประสบกับความทุกข์อย่างใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต นอกจากนี้ก็ยังมีคนพูดกันว่าเจ้าจอมม.ร.ว.สดับท่านยังรุ่นสาว มีรูปโฉมงดงาม ทรัพย์สมบัติคือเพชรนิล จินดาต่างๆ ที่ได้รับพระราชทานมาก็ติดตัวอยู่มาก เกรงว่าจะไม่สามารถครองตัว รักษาพระเกียรติยศไว้ได้ตลอดไปครับ พระบรมวงศานุวงค์ชั้นสูงหลายพระองค์ก็ทรงวิตกในเรื่องนี้

 

พระวิมาดาเธอฯ จึงทรงแนะนำให้เจ้าจอมม.ร.ว.สดับ ถวายเครื่องเพชรพระราชทานคืนก่อน เพราะจะเป็นชนวนทำให้เสีย เจ้าจอมม.ร.ว.สดับท่านก็ถวายคืนไปหมดด้วยความเต็มใจครับ เหลือติดตัวไว้เพียงสิ่งเดียวคือกำไลทองรูปตาปูนั้นซึ่งท่านไม่เคยถอดออกจากข้อมือเลยตลอดชีวิต

 

หลังจากถวายทรัพย์สินคืนไปหมด ท่านก็เลยไปอยู่ในพระอุปถัมภ์ของพระวิมาดา เธอฯ ต่อไปครับ ท่านได้หันเข้าศึกษาพระธรรมอย่างจริงจัง จนกระทั่ง พ.ศ.2475 หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่านก็ย้ายออกจากพระบรมมหาราชวัง ไปอยู่ บ้าน “ทับสุข” ที่บริเวณวัดเขาบางทราย ชลบุรี ไปรักษาตัวเจริญศีลภาวนาอยู่ที่ นั่น ด้วยวิธีนี้ท่านจึงรอดพ้นจาก “ชนวนที่จะทำให้เสีย” ต่างๆ และรักษาพระ เกียรติยศไว้ได้ตลอดชีวิตของท่านครับ ท่านศึกษาพระธรรมอย่างจริงจัง ได้ บันทึกข้อธรรมต่างๆ ตามความเข้าใจของตนเองมาตลอด ตั้งแต่แรกจนได้หนังสือ ขนาด 8 หน้ายกขึ้นมาเล่มหนึ่ง เรียกว่า “สุตาภาษิต” (สุ ตา ครับ มิใช่ สุดา) จนกระทั่งท่านมีอายุได้ 60 ปี จึงได้กลับเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวังอีกครั้ง

 

ในช่วงปลายของชีวิตท่าน นอกจากจะได้ศึกษาธรรมต่อไปแล้ว ท่านก็ได้เข้าร่วม กิจกรรมลูกเสือชาวบ้าน แต่ท่านไม่ใช่ลูกเสือชาวบ้านที่ร้องเพลงและรับประทาน อาหาร 3 มื้อหรอกนะครับ เพราะท่านยังรักษาอุโบสถศีลอยู่ ผมลืมบอกไปว่า ก่อน ท่านจะกลับเข้ามาในวังท่านก็บวชชีมาตลอดล่ะครับ จนต้องเข้าวังจึงสึกออกมา รักษาอุโบสถศีลแทน จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2526 หลังจากที่ท่านได้ปวารณาตัวเข้าร่วมในกิจกรรมที่จะทำให้เกิดความดีงามต่างๆ แก่ปวงชนเท่าที่จะกระทำได้ และครองตัวรักษาพระเกียรติยศแห่งพระพุทธเจ้าหลวงไว้ด้วยความไม่ประมาทตลอดชีวิต เจ้าจอมม.ร.ว.สดับท่านจึงได้กราบถวายบังคมลาถึงอนิจ กรรมที่โรงพยาบาลศิริราชด้วยโรคชรา สิริรวมอายุได้ 93 ปีครับ

 

ภาพจาก https://www.sanook.com/movie/57761/gallery/336753/

ผลงานของเจ้าจอมม.ร.ว.สดับที่ยังมีอยู่ทุกวันนี้ นอกจาก “สุตาภาษิต” แล้ว ยังมี อีกมากครับ ได้แก่ บทความ 3 บท เรื่องบ่อเกิดพระราชนิพนธ์เงาะป่า, เกร็ด โบราณคดีที่ได้รับจากการบันทึก และตำรากับข้าวไทย ครับ นอกจากนี้ ยังปรากฏ เกียรติคุณของท่านในหนังสือต่างๆ เป็นจำนวนมาก ในฐานะที่ท่านเป็นช่างทำน้ำอบน้ำปรุง และ “ส้มโอมือ”

 

“ส้มโอมือ” ก็คือยาดมชนิดหนึ่ง ทำจากส้มโอที่มีผิวหยาบขรุขระ ส้มโอแบบนี้ มี ขนาดเท่ากำปั้น พวกคนจีนจะเอามาขายในฤดูไหว้พระจันทร์ไงครับ เอามานึ่ง แล้วผึ่งเสียพอให้หมาด จากนั้นผสมพิมเสน กานพลู และน้ำมันหอมแล้วจึงบรรจุ ในถ้ำยาดม ถ้ำยาดมนี้เดิมเป็นตะกั่วทำเป็นกล่องรูปกลมยาว ใช้ตะกั่วชนิดพิเศษ เก็บกลิ่นได้ดี เดิมต้องสั่งมาจากเมืองจีนนะครับ แต่เจ้าจอมม.ร.ว.สดับท่านมาทดลองทำดูแล้วมีคนสนใจอยากได้จึงเริ่มทำขาย

 

เข้าใจว่า เครื่องหมายประจำตัวท่านที่จะติดอยู่บนฝาถ้ำยาดมแบบนี้ ของเดิมน่าจะ เป็นรูปซอสามสายกับชฎานะครับ แต่เดี๋ยวนี้ผมเห็น “ส้มโอมือ” ยี่ห้อหนึ่ง วาง ขายอยู่ตามห้างใหญ่ๆ ถ้ำยาดมทำอย่างของเก่าที่กล่าวมาแล้วนะครับ แต่รูปบน ฝาถ้ำกลายเป็นรูปกระจับปี่ (พิณสี่สาย) กับชฎา บนฝาถ้ำตรงส่วนที่เป็นฉัตรหรือ ขอบฝาเขาก็ดุนไว้ว่า “สูตรเจ้าจอมม.ร.ว.ส. ใน รัชกาล ที่ 5” ไม่ทราบเหมือนกัน ว่าจะเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง ท่านใดพอจะทราบ กรุณาเขียนมาบอกด้วยนะครับ จะได้เป็นวิทยาทานต่อไป ที่จัดว่าดีอยู่อย่างก็คือ “ส้มโอมือ” ยี่ห้อนี้หนุ่มสาวรุ่นใหม่เขาก็รู้จักซื้อใช้กัน ดมแล้วกลิ่นหอมชื่นใจ รูปลักษณ์ก็สวยแปลกตากว่าของฝรั่งดูดีกว่ามาก


ภาพจาก https://www.silpa-mag.com/history/article_70641

ส่วนเรื่องการขับร้องเพลงไทยของท่าน คุณหมอพูนพิศท่านก็เคยเขียนไว้นานแล้ว ล่ะครับ คงจะไม่ขอฉายซ้ำอีก แต่ขอแย้มๆ ไว้นิดหนึ่งว่า ถึงแม้ท่านจะไม่ได้อัด บันทึกเสียงของท่านไว้เลย ในขณะที่ท่านยังรุ่นสาว แต่ในช่วงปลายปัจฉิมวัยของ ท่านก็ได้กรุณาบันทึกไว้ 2 เพลง จากเรื่อง “เงาะป่า” นั่นเองครับ เพลงเหล่านี้เราคงหาฟังยาก แต่ความไพเราะนั้นคงจะพอประมาณได้ อย่างน้อยก็จากบทร้อยกรองนิพนธ์เรื่องเงาะป่าตอนหนึ่ง ที่แม้ว่าจะมิได้ทรงแต่งเพื่อท่านแต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้คนรู้จักท่าน บทละครร้อยกรองนั้นมีความว่า

 

แม่เสียงเพราะเอย น้ำเสียงเจ้าเสนาะ เหมือนดังใจพี่จะขาด

เจ้าร้องลำนำ  ยิ่งซ้ำพิสวาส พี่ไม่วายหมายมาด  รักเจ้าเสียงเพราะเอย

Thursday, October 26, 2023

แคทเธอรีนมหาราชินี(ค.ศ.1762-1796)

บันทึกบทความเก่าของอ.กิตติ วัฒนะมหาตม์ จาก

คอลัมน์หลากหลายลีลา “ผู้หญิงในประวัติศาสตร์” หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หน้าสตรี-เด็ก 24 เมษายน พ.ศ.2534 (3/4)

 

Catherine the Great, c. 1780s from https://en.wikipedia.org/wiki/Catherine_the_Great

สมัยหนึ่งในรุสเซียก่อนการสิ้นอำนาจของราวงศ์โรมานอฟและระบบกษัตริย์รุสเซียเป็นเวลานาน เป็นยุคสมัยแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่สุดของจักรวรรดิรุสเซีย มีการแผ่อำนาจไปถึงตุรกีและโปแลนด์ และเป็นฐานแห่งการพัฒนาสู่ความเป็นมหาอำนาจในโลกปัจจุบัน ยุคสมัยดังกล่าวนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำประเทศที่เป็นสตรีคนหนึ่ง คือพระนางแคทเธอรีนที่ 2 อันมีสมญาว่า CATHERINE THE GREAT หรือแปลเป็นไทยคือ “แคทเธอรีนมหาราชินี” ครับ

 

เป็นที่น่าแปลกใจว่า แม้ในปัจจุบันรุสเซียจะมิได้ปกครองโดยระบบกษัตริย์อีกต่อไปแล้ว แต่ประชาชาติรุสเซียต่างก็ยังคงพากันยกย่องมหาราชินีองค์นี้ แม้ว่าพระราชประวัติและพระจริยาวัตรของพระนางที่ได้รับการบันทึกไว้จะขัดกับสามัญสำนึกของคนบางคนอยู่มาก และแม้ว่าพระนางจะมิใช่ชาวรุสเซียโดยกำเนิด แต่เป็นเจ้าหญิงเยอรมัน

 

ครับ แคทเธอรีนมหาราชินีทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1729 ที่เมืองซเตทติน (STETTIN) ในแคว้นพอเมราเนีย (POMERANIA) อยู่แถวๆ ฝั่งทะเลบอลติกทางตอนเหนือของเยอรมนีโน่น แต่ขณะนั้นเมืองนี้ยังเป็นรัฐในความคุ้มครองของปรัสเซียสมัยพระเจ้าเฟรเดอริค วิลเลี่ยมที่ 1 ครับ พระบิดาของแคทเธอรีนก็คือเจ้าชายริสเตียเอากุสต์ แห่งแคว้นอันฮาลท์-แซร์บส์ ซึ่งพระเจ้าเฟรเดอริคส่งไปครองเมืองชเตทตินนั่นเอง ส่วนพระมารดามีชื่อว่า เจ้าหญิงโยฮันน่า เอลิซาเบธ เจ้าหญิงแคทเธอรีนมิได้มีชื่อว่าแคทเธอรีนมาแต่แรกนะครับ พระนามเดิมภาษาเยอรมันของพระนางคือ โซฟี เอากุสต์ ฟรีเดริเก้ (SOPHIE AUGUSTE FRIDERIKE) เพราะเหตุใดจึงทรงเปลี่ยนพระนามในตอนหลัง ประเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังต่อไปครับ ตอนนี้ขอเรียกว่าเจ้าหญิงโซฟีไปก่อนละกัน

 

เจ้าหญิงโซฟีได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีสมฐานะครับ และจัดว่าทรงมีพระเชาวน์ดีมากด้วย ได้ติดตามพระมารดาไปเยือนราชสำนักต่างๆ ตั้งแต่มีพระชนม์ได้ 3 ชันษา ซึ่งทำให้พระนางได้พบปะกับบุคคลสำคัญต่างๆ เป็นจำนวนมากรวมทั้งพระเจ้าเฟรเดอริค วิลเลียมที่ 1 ด้วยครับผม พอปีค.ศ.1743 ก็มีเรื่องที่จะทำให้เจ้าหญิงโซฟีต้องเสด็จจากเยอรมนีไปตั้งแต่ยังรุ่นสาวเลยทีเดียว

 

ในปีนั้น เอ็มเปรสเอลิซาเบธแห่งรุสเซียซึ่งมิได้อภิเษกสมรส แต่มีรัชทายาทเป็นพระเจ้าหลานเธอคือเจ้าชายปีเตอร์แห่งโฮลซไตน์ ก็อตทอร์ป ต้องการจะหาพระชายาให้กับรัชทายาทองค์นี้ แล้วก็ทรงเลือกเจ้าหญิงโซฟีนั่นเอง โดยมีพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราช (ซึ่งขึ้นครองปรัสเซียต่อจากพระเจ้าเฟรเดอริควิลเลียมที่ 1) เป็นตัวตั้งตัวตีอยู่เบื้องหลัง เรียกว่าเป็นเรื่องการเมืองก็แล้วกันนะครับ พอถึงปีต่อมาเจ้าหญิงโซฟีซึ่งมีพระชนมายุเพียง 16 ชันษา ก็เสด็จไปรุสเซียพร้อมกับพระมารดา

 

คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่าการแต่งงานระหว่างเจ้านายชั้นสูงของยุโรปสมัยก่อนนั้น คนที่จะต้องแต่งงานจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรเองทั้งสิ้น ทำได้ก็เพียงก้มหน้ารับการตัดสินใจของผู้หลักผู้ใหญ่เท่านั้นเองครับ เจ้าหญิงโซฟีต้องไปเข้ารีตเป็นออร์โธด็อกซ์อันเป็นศาสนาที่นับถือกันในรุสเซียสมัยนั้นก่อน หลังจากนั้นก็ทรงเรียนภาษารุสเซีย จนคล่องแล้ววันที่ 21 สิงหาคม 1745 ก็เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายปีเตอร์ พระนามแคทเธอรีนก็ได้มาในวาระนี้เองแหละครับ

 

Oil on canvas portrait of Empress Catherine the Great by Russian painter Fyodor Rokotov from http://www.saint-petersburg.com/royal-family/catherine-the-great/

สาเหตุที่จะได้พระนามใหม่คือ ตามธรรมเนียมออร์โธด็อกซ์เขาให้ใช้ชื่อเพียงชื่อเดียว ซึ่งเจ้าหญิงโซฟีก็คงจะใช้พระนามโซฟีอยู่นั่นเอง แต่บังเอิญซะไม่มีละที่พระนามนี้ไปตรงกับพระนามของแกรนด์ดัชเชสโซฟี แกรนด์ดัชเชสผู้นี้ประวัติน่ารักดีเหมือนกันครับ คือเพิ่งจะพยายามก่อกบฏและถูกสั่งบวชชีไปตลอดชีวิต เอ็มเปรสเลยไม่ทรงยินดีให้เจ้าหญิงโซฟีใช้ชื่อนี้จึงยกพระนามของพระมารดาของตนให้ คือพระนาม “แคทเธอรีน” ดังนั้นต่อไปนี้ผมก็จะขอเรียกพระนามแคทเธอรีนนี้โดยตลอดนะครับ

 

หลังจากนี้พระมารดาถูกสั่งกลับเยอรมนี แกรนด์ดัชเชสแคทเธอรีน (พระยศได้ภายหลังการอภิเษกสมรส) ถูกตัดขาดจากการติดต่อกับพระมารดาและประเทศอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพระนางก็เหตุผลทางการเมืองแหละครับ แถมตั้งแต่ปี 1745-1762 ที่ทรงเป็นพระชายาของรัชทายาทรุสเซียอยู่ก็ขมขื่นยังกับอะไรดี ได้ทรงบันทึกไว้โดยตลอดว่าแกรนด์ดยุคปีเตอร์นั้นมิได้เอาใจใส่พระนางฉันสามีภรรยาที่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว ตัวอย่างเช่น

 

-ก่อนเข้านอนแต่ละวัน ปีเตอร์จะเสวยของว่าง เสร็จแล้วเข้าห้องบรรทม คุยแต่เรื่องไร้สาระสักครู่ก็บรรทมหลับ

 

-ปีเตอร์ไปติดพันสตรีอื่น แถมเอามาเปรียบเทียบกับพระนางอยู่บ่อยๆ บางครั้งถึงกับพูดเปรียบเทียบกันต่อหน้าพวกมหาดเล็กว่าสตรีคนนั้นคนนี้สวยกว่าแคทเธอรีน

 

-บางครั้งขณะบรรทมอยู่นพระที่เดียวกัน ปีเตอร์ก็พรรณนาถึงความงามของสตรีในราชสำนักที่พระองค์โปรดปรานให้พระนางฟัง

 

ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกครับที่แกรนด์ดัชเชสแคทเธอรีนจะต้องทรงเบื่อหน่ายเหลือกำลัง ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด 9 ปี พระนางจึงใช้เวลาว่างทั้งหมดในการอ่านหนังสือ นอกจากนี้ก็ทรงหาข้าราชการที่โปรดปรานเป็นพิเศษมาเป็นคู่รัก พระโอรสองค์แรกของพระนางก็เป็นเชื้อสายของคู่รักคนหนึ่งละครับ เรื่องนี้พระนางยอมรับเอง

 

Coronation of Catherine II  by Stefano Torelli from http://www.saint-petersburg.com/royal-family/catherine-the-great/


มีผู้บันทึกไว้ว่าพระนางมีพระชนมายุมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคู่รักเป็นเด็กมากขึ้นเท่านั้น คู่รักคนสุดท้ายอายุ 22 ปี ในขณะที่พระนางทรงมีพระชนม์ถึง 60 ชันษาแล้ว มีผู้จดบันทึกไว้อีกว่าพระนางทรงมีคู่รักถึง 55 คน ตลอดพระชนม์ชีพ คู่รักเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ต่อพระนางครับ ดังเช่นคนหนึ่งคือ เกรเกอรี่ ออร์ลอฟ ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการอัญเชิญพระนางขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนปีเตอร์ เรื่องบันเทิงเกี่ยวกับคู่รักมากถึง 55 คนนี้ขอได้พิจารณาด้วยนะครับ เพราะแม้ว่าจะเป็นบันทึกร่วมสมัยที่ใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ก็จริง แต่เราก็ไม่มีทางทราบเลยว่าผู้บันทึกได้ทำไว้โดยความรู้สึกที่เป็นอคติมากน้อยเพียงใด

 

ผมมองว่า ใครจะมีเรื่องส่วนตัวเป็นอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของเขาละครับ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็มีสิทธิ์นี้โดยเท่าเทียมกัน คือ สิทธิ์ที่จะตัดสินใจกับเรื่องของตนเอง ผลงานของเขาต่างหากที่ควรนำมาสรรเสริญหรือตำหนิกัน ซึ่งจะได้เห็นกันละครับว่าเรื่องอื้อฉาวของคู่รักต่างๆ นั้นเทียบไม่ได้เลยกับผลงานที่พระนางสร้างไว้ให้กับประเทศชาติ มหาราชินีองค์นี้ทรงใช้เวลาถึง 12-15 ชั่วโมงต่อวันในการทำงาน ส่วนหนึ่งก็คงมาจากกรณีที่ว่าทรงขึ้นครองราชย์โดยมิได้มีเชื้อสายรุสเซีย ก็เลยทรงต้องการการยอมรับจากประชาชนชาวรุสเซียด้วยน่ะครับ

 

งานใหญ่อันดับแรกของพระนางคือ การประมวลกฎหมายเดิมๆ ที่สุดแสนจะเลอะเทอะอะไรขนาดนั้นของรุสเซียขึ้นใหม่เรียกว่า นาคาซ (NAKAZ) ครับ ทรงประมวลด้วยพระองค์เองแม้จะไม่ทรงมีความรู้ทางกฎหมายมาก่อนก็ยังบากบั่นไปหาหนังสือวิชากฎหมายดีๆ มาอ่านจนรวบรวมและปริวรรตขึ้นสำเร็จครับ เป็นกฎหมายที่ทันสมัยทีเดียว แต่คนรุสเซียไม่พอใจพระนางอยู่แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่เห็นความดีหรอกครับ ยิ่งในปี 1764 ทรงออก พรบ.ริบที่ดินของวัด เพราะทรงเห็นว่าพวกบาทหลวงเอาเงินที่ได้จากที่ดินไปใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยดีชะมัดเลย พวกบาทหลวงก็เลยไปยุประชาชนให้เกิดความไม่พอใจต่อพระนางมากขึ้น

 

ความไม่พอใจยิ่งหนักเมื่อพระนางทรงปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นและให้อำนาจกับพวกขุนนางมากจนเป็นที่ขนานนามกันว่า “ยุคทองของพวกขุนนาง” ในที่สุดก็เกิดกบฏขึ้นหลายครั้งครับ ครั้งใหญ่ที่สุดคือ กบฏปูกาเซฟ (PUGACHEV) ในปี 1773 ที่เมืองคอสแซค พระนางปราบได้ด้วยกำลังทหารครับ แต่ประชาชนก็คงไม่ยินดีด้วยแน่ๆ

 

แต่ถึงจะทรงไม่ประสบกับความราบรื่นกับการบริหารภายในประเทศเช่นนี้ เราก็ต้องยกย่องพระนางในด้านการต่างประเทศละครับ พระนางได้ทรงดำเนินนโยบายต่างประเทศจนทำให้ได้ดินแดนจากโปแลนด์ในปี 1793 คือ ได้แคว้นลิธัวเนียเกือบทั้งหมด แคว้นยูเครนทางตะวันตกเกือบทั้งหมด ได้ประชาชนชาวโปลมากกว่า 3 แสนคนครับ หลังจากนั้นทำสงครามกับตุรกีและชนะจนหาทางออกทางทะเลได้ คือ ทะเลดำ ซึ่งจะทำให้เกิดการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจที่มั่นคงตามมารวมทั้งฐานะทางการเมืองด้วย

 

พระราชกรณียกิจเหล่านี้ละครับที่ทำให้รุสเซียกลายเป็นมหาอำนาจที่ล้นเหลือในเวลาต่อมา ผมจึงได้พยายามชี้ให้เห็นว่าภารกิจเหล่านี้เป็นของพระนาง เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ามากกว่าการตัดสินพระจริยาวัตรส่วนพระองค์ ซึ่งพูดกันมาก และมีหนังสือหลายเล่มที่กล่าวถึงพระนางแคทเธอรีนที่จะต้องกล่าวแต่เรื่องคู่รักของพระนางเพียงอย่างเดียว โดยไม่อ้างเลยสักนิดว่าทรงทำอะไรให้ชาติบ้านเมืองที่พระนางเองก็ไม่ได้เกิดมาในผืนแผ่นดินนั้นด้วยซ้ำไป

 

เมื่อก่อน พวกเราชอบเอาวัฒนธรรมทางความคิดที่ล้าหลังของเราเองไปเที่ยวตัดสินคนในวัฒนธรรมอื่นเขาเสมอ ยิ่งโดยเฉพาะกับผู้หญิงที่มีเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาแล้วยิ่งใส่กันสนุกไปเลยละครับ เรื่องแบบนี้ผมว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผล คือ เราไปตามเล่นงานคนที่ตายไปแล้วไม่มีสิทธิ์จะแก้ตัวได้และโดยเฉพาะคนคนนั้นเป็นผู้หญิง

 

Marble statue of Catherine II in the guise of Minerva (1789–1790), by Fedot Shubin from https://en.wikipedia.org/wiki/Catherine_the_Great


พระนางแคทเธอรีนสวรรคตเมื่อ 7 พฤศจิกายน 1796 เมื่อพระชนมายุได้ 67 ชันษา นักประวัติศาสตร์ได้ยอมรับกันว่าในรัชสมัยของพระนางเป็นสมัยที่รุสเซียเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดยิ่งกว่าสมัยใดๆ และสมควรเป็นที่มาของสมญา “มหาราชินี” ที่ต่างพากันถวายให้พระนางอย่างเต็มใจ จนถึงปัจจุบันนี้ชาวรุสเซียก็ยังมีความชื่นชมในพระนางแคทเธอรีนเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้น่าจะเป็นข้อเตือนใจของเราได้ว่า ในโลกที่เจริญทางภูมิปัญญาแล้วเขาจะยกย่องผลงานของบุคคลสำคัญโดยไม่สนใจกับเรื่องส่วนตัวของคนคนนั้น

 

ยกเว้นแต่ว่าถ้าทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวไม่เอาไหนพอๆ กันก็น่าประณาม ไม่ว่าจะในวัฒนธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมไทย

 

Saturday, October 21, 2023

คลาร่า ชูมานน์ : ผู้หญิงที่ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อความรัก

บันทึกบทความเก่าของอ.กิตติ วัฒนะมหาตม์ จากคอลัมน์หลากหลายลีลา “ผู้หญิงในประวัติศาสตร์” หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หน้าสตรี-เด็ก

18 เมษายน พ.ศ.2534 (2/4)

 

ในประวัติศาสตร์อารยธรรมของมนุษย์เรานั้น จัดได้ว่าดนตรีเป็นสิ่งที่คงอยู่คู่กับ มนุษย์มาโดยตลอด เพิ่งจะมาถูกเปลี่ยนเป็นอะไรต่อมิอะไรจนไม่เหลือเค้าของการดนตรีแล้วก็ในประเทศไทยเรานี่แหละ ส่วนทางดนตรีสากลเขานั้นมีประวัติที่ยาวนาน มีศิลปินหรือคีตกวีที่ได้รับการยกย่องในประวัติศาสตร์โลกอยู่หลายคน

 

แต่ในจำนวนรายชื่อของคีตกวีและนักดนตรีที่ได้รับยกย่องติดทำเนียบคนเด่นใน ประวัติศาสตร์นั้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เป็นผู้หญิงครับ

 


มีผู้หญิงที่เป็นนักดนตรีและได้รับการยกย่องอยู่มากเพียงคนเดียว คือคลาร่า ชูมานน์ (CLARA SCHUMANN)  คนที่เรากำลังจะพูดถึงกันอยู่นี่แหละ แต่ไม่ได้รับ การยกย่องทางดนตรี สิ่งที่คนทั้งโลกยกย่องเธอก็คือ ความรักและความเสียสละ อันยิ่งใหญ่ที่เธอให้แก่ผู้เป็นสามี ซึ่งเป็นคีตกวีเอกคนหนึ่งของโลก เขาคือ โรเบิร์ต ชูมานน์ (ROBERT SCHUMANN) ครับผม

 

จะขออธิบายให้ฟังย่อๆ ว่า โรเบิร์ต ชูมานน์ นี่เป็นใคร เผื่อท่านผู้อ่านที่ไม่มีโอกาสที่จะสนใจศึกษาทางดนตรีคลาสสิค จะได้คุ้นหน้าคุ้นตาและคุ้นชื่อกันไว้ล่ะครับ ถ้าหากว่าไปเห็นชื่อที่ไหน

 


โรเบิร์ต อเล็กซานเดอร์ ชูมานน์ (ROBERT ALEXANDER SCHUMANN) เกิดที่เมืองซวิคเคา แคว้นแซ็กโซนี่ในเยอรมนีครับ บิดาเป็นเจ้าของร้านขายหนังสือ แต่ ก็สนับสนุนให้เขาเรียนดนตรี เพราะเห็นแววอยู่ และในสมัยของชูมานน์นั้น เป็นยุคสมัยของการดนตรีที่เรียกว่ายุคโรแมนติค (ROMANTIC) ดนตรีกำลังรุ่งเรืองแผ่ ไปทั่วทุกระดับชั้น แต่พอเขาอายุ 17 คุณพ่อผู้น่ารักก็จากไปสู่สวรรค์ คุณแม่อยากให้เขาเป็นนักกฎหมายมากกว่า เลยส่งไปเรียนกฎหมายที่ไลป์ซิก ช่วงนี้เองที่โรเบิร์ตได้รู้จักกับคลาร่า วีค (CLARA WIECK) ซึ่งเป็นลูกสาวของครูสอนเปียโนที่มี ชื่อเสียงคนหนึ่ง ขณะนั้นคลาร่ายังเป็นเด็กสาวแรกรุ่น ถ้าเปรียบเป็นดอกไม้ก็ยัง ไม่มีทีท่าว่าจะแย้มกลีบ เพราะอายุแค่ 9 ขวบ


โรเบิร์ตหาโอกาสไปเรียนเปียโนกับพ่อของคราล่าจนได้แหละครับ เป็นเพราะเขาสนใจดนตรีมากก็เลยอยากเรียนอะไรให้สุด สุดไปเลย แต่ไม่มีใครเลยนอกจากคนที่มาศึกษาประวัติของคีตกวีเอกผู้นี้ในภายหลังที่จะรู้ว่า การที่ได้มาเรียนเปียโนนี้ทำให้โรเบิร์ตใกล้ชิดกับคลาล่ามากขึ้นจนกลายเป็นความรักในเวลาต่อมา


เด็กอายุ 17 ขวบ ชอบกับเด็ก อายุ 9 ขวบ ได้ไง น่าสงสัยเหมือนกันนะ

 

แล้วเพื่อให้มือของเขาเล่นเปียโนได้คล่อง โรเบิร์ตก็ประดิษฐ์เครื่องมือช่วยขึ้นมาติดที่มือ ผลที่ได้รับนั้นทารุณมาก เพราะกลายเป็นการทำลายอนาคตนักเปียโนที่เขาใฝ่ฝันไว้ทั้งหมด เครื่องมือนั้นทำให้มือขวาของเขาพิการครับ โรเบิร์ตเสียใจมากและหันมาสนใจในการประพันธ์ดนตรีแทน เขายังได้ร่วมกับพรรคพวกออก นิตยสารเกี่ยวกับดนตรี เพื่อต่อต้านพวกที่ทำลายดนตรีอย่างเห็นแก่ได้ เมืองไทยเราน่าจะมีนิตยสารพวกนี้เยอะๆ นะครับ

 

เวลาผ่านไปอีก 10 กว่าปี คลาร่าก็เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อมไปด้วย ความงาม, ความอ่อนหวาน และมีชื่อเสียงในการเล่นเปียโน และในระยะเวลานี้ความรักที่เธอมีต่อโรเบิร์ต และที่โรเบิร์ตมีต่อเธอก็ลึกซึ้งเกินบรรยายเสียแล้วครับ แต่โรเบิร์ตก็ยังไม่กล้าสารภาพรักกับเธอ จนกระทั่งเขารู้สึกว่าเธอแน่นอนแล้วจึงเขียนเพลงขึ้นมาชุดหนึ่ง มีชื่อเรียกว่า แฟนตาซี่ พีซส์ ทำให้คลาร่าเข้าใจเพราะ ตลอดเวลาที่เขามิได้บอกว่ารักเธอนั้น เธอก็ทรมานใจอยู่มากเหมือนกัน

 


ช่วงนี้โรเบิร์ตได้ประพันธ์เพลงที่งดงามเป็นจำนวนมาก แต่งให้คลาร่าด้วย และที่มีชื่อเสียงในชุด ซีนส์ ออฟ ไชลด์ฮูด (ผมไม่กล้าให้ภาษาอังกฤษหรือเยอรมัน เยอะๆ ครับ กลัวฝีมือตรวจปรู๊ฟนั่นแหละ) ที่มีชื่อเสียงมากคือ “ทรอยเมอไร (TRAUMEREI) แปลว่า ความฝันครับ แต่พ่อของคลาร่าก็พยายามกีดกัน เพราะ อยากให้ลูกสาวมีอนาคตดีกว่าจะมาอยู่กับโรเบิร์ต ถึงกับขอให้ศาลสั่งห้ามการแต่งงานของทั้งสอง แต่ฟรานซ์ ลิสท์ (FRANZ LISZT) คีตกวีเอกของโลกอีก ท่านหนึ่ง ซึ่งมีคนนับถือกันมากก็ขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ เขาแย้งว่าโรเบิร์ตได้รับ ปริญญาเอกทางดนตรี (กิตติมศักดิ์) จากมหาวิทยาลัยจีนามาแล้ว คำร้องของพ่อคลาร่าก็เป็นอันตกไปครับ

 

12 กันยายน 1840 ทั้งสองก็แต่งงานกัน หลังจากนั้นฐานะของโรเบิร์ตไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด ครอบครัวชูมานน์มีลูกมาก หนี้สินก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ครับ คลาร่าไม่เคยปริปากเลยแม้แต่นิดเดียว เธออยากจะเลิกเล่นเปียโนเพื่อทำหน้าที่แม่บ้านอย่าง เต็มที่ แต่เธอก็เลิกไม่ได้เพราะต้องช่วยสามีหาเงิน เธอจึงออกแสดงเปียโนโดยใช้ ผลงานของสามีนั่นเองหลายครั้ง

 


ปี 1843 โรคประสาทก็เล่นงานโรเบิร์ตอย่างหนัก เขาต้องหยุดแต่งเพลงและ ลาออกจากการเป็นบรรณาธิการนิตยสารทางดนตรีที่เขากับพรรคพวกช่วยกัน สร้างขึ้นมา คลาร่าก็ต้องลำบากไปด้วยทั้งที่เธอสบายมาตั้งแต่เกิด แต่เธอก็ไม่เคย ปริปากบ่น ไม่คิดแม้แต่จะหนีเอาตัวรอด

 

ปี 1854 โรเบิร์ตคลั่งกระโดดแม่น้ำไรน์ ชาวประมงช่วยชีวิตเขาไว้ได้ และคลาร่า ต้องออกแสดงคอนเสิร์ทเพื่อหาเงินช่วยทั้งครอบครัวและสามีที่อยู่ในโรงพยาบาล โรคจิต

 

ปี 1856 โรเบิร์ต ชูมานน์ก็อำลาจากโลกนี้ไปครับ ภายในอ้อมแขนของคลาร่า ภรรยาที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเขาอย่างที่สุด ขณะนั้นเขามีอายุได้ 46 ปี และเธอมีอายุ 37 ปี คลาร่าไม่แต่งงานใหม่ ทั้งที่สามารถกระทำได้ เธอเป็นผู้หญิงที่ควรแก่การสรรเสริญในเรื่องความรักที่มีตัวตนอยู่จริง ตลอดระยะเวลา 40 ปี ที่เหลือ หลังจากที่โรเบิร์ตจากไป คลาร่าผู้ครองความเป็นหม้ายก็ต้องทำหน้าที่ ดูแลลูกๆ และจัดการกับหนี้สินทั้งหมดต่อไป

 

จากชีวประวัติแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ ทำให้มีการสร้างภาพยนตร์ขึ้นในปี 1947 ชื่อว่า SONG OF LOVE ครับ เป็นภาพยนตร์อัตชีวประวัติของโรเบิร์ตและคลาร่า ชูมานน์ ผู้แสดงเป็นคลาร่าก็คือ แคทเธอรีน แฮพเบิร์น ส่วนโรเบิร์ตแสดงโดย พอล เฮ็นเรด มีนักดนตรีที่มีชื่อเสียงหลายคนมาทำเพลงประกอบหนังเรื่องนี้

 


และทุกวันนี้คลาร่าก็ได้นอนสงบอยู่เคียงคู่กับสามีอันเป็นที่รักของเธอ อยู่ในสุสาน ที่กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนี ดังรูปที่เห็นอยู่ในภาพประกอบในคอลัมน์นี้ล่ะครับ ถ้าจะมีคนรู้จักโรเบิร์ต ชูมานน์เพราะการดนตรี ก็จะต้องมีการกล่าวถึงคลาร่าในฐานะภรรยาที่ซื่อสัตย์ จงรักภักดี และ เสียสละควบคู่กันไปเสมอ

 

หมายเหตุ เนื้อหาและภาพประกอบของบทความนี้ ส่วนมากได้จาก “คีตกวี ปรัชญาเมธีแห่งภาษาสากล” อ้นเป็นผลงานของคุณไพบูลย์ กิจสวัสดิ์ จึงขอ ได้รับความขอบคุณในโอกาสนี้

 

***หมายเหตุ ภาพที่ใช้ประกอบบทความในโพสต์ครั้งนี้ เป็นภาพที่ได้จากอินเตอร์เน็ต ได้แก่

ภาพถ่ายคลาร่า

https://www.nytimes.com/2019/08/28/arts/music/clara-schumann.html

ภาพคู่

https://www.nytimes.com/2018/11/19/books/review/robert-schumann-judith-chernaik-biography.html

ภาพพอรทเทรดเดี่ยว 2 รูป

http://www.classichistory.net/archives/clara-schumann

หลุมฝังศพ

https://www.findagrave.com/memorial/1146/clara-schumann

Friday, October 20, 2023

พระมหาเทวี : สตรีผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์พระร่วง

บันทึกบทความเก่าของอ.กิตติ วัฒนะมหาตม์

คอลัมน์หลากหลายลีลา “ผู้หญิงในประวัติศาสตร์” หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หน้าสตรี-เด็ก 16 เมษายน พ.ศ.2534 (1/4)

 

ผู้หญิงในประวัติศาสตร์ที่จะขอแนะนำให้รู้จักกันในวันนี้ เป็นสตรีสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ซึ่งเคยมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของอารยธรรมหนึ่งในสยามประเทศ ของเรานี้เอง คือประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย

 

วัดมหาธาตุ สุโขทัย


เคยเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ปกครองเมืองพระร่วงด้วยบทบาทและฐานะ ที่เรียกได้ว่า สูงส่งทัดเทียมกษัตริย์สุโขทัยทีเดียวแหละครับ

 

หลายคนคงงงเป็นอย่างยิ่งว่าพระมหาเทวีองค์นี้เป็นใครมาจากไหน... ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พระมหาเทวีองค์นี้มีเรื่องราว กล่าวถึงน้อยมากครับ และที่สำคัญ ก่อนที่จะเป็นงงเกี่ยวกับชื่อ พระมหาเทวี สุโขทัย ลองถามใจตัวเองดูก่อนว่า ท่องจำชื่อพระร่วงสุโขทัยได้ครบทุกพระองค์หรือยัง

 

หรือว่าจำได้แต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เพราะตั้งเมืองสุโขทัย จำได้แต่พ่อขุนรามคำแหง เพราะท่านเป็นเจ้าของศิลาจารึกหลักที่ 1 หลักเดียวจากจำนวนร้อยๆ หลักของสุโขทัยที่รัฐบาลท่านบังคับให้เราเรียนกัน ท่องกันทุกวัน เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ใครใคร่ค้าช้างค้า... หรือว่าจะจำพระมหาธรรมราชาธิราช ที่ชอบ เรียกกันว่า “พญาลิไท” เพราะท่านเป็นคนแต่งหนังสือไตรภูมิพระร่วง

 

ถ้าจำ 3 พระร่วงสุโขทัยนี้ได้ก็พอแล้วละครับ เพราะจะได้ว่ากันไปเลย เรื่องของ พระมหาเทวีซึ่งไม่ไกลจากพระร่วงหนึ่งในสามพระองค์นี้มากนัก เพราะทรงเป็นน้องหญิงหรือพระขนิษฐาของพระมหาธรรมราชาลิไทนั่นเอง ครับผม แต่ต้องขอเท้าความสั้นๆ ก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไรจึงทำให้พระมหาเทวีมีความสำคัญขึ้นมาในประวัติศาสตร์สุโขทัย

 

ถ้ายังจำกันได้ หลังจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ตั้งกรุงสุโขทัยขึ้นแล้ว สุโขทัยก็มาเจริญที่สุดสมัยพ่อขุนรามคำแหง จริงไหมครับ จากจารึกหลักที่ 1 ก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของสุโขทัยในช่วงเวลานี้ ซึ่งความมั่นคงเหล่านั้น มาจากพ่อขุนรามคำแหงเป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลงบ้านเมืองต่างๆ ในแคว้น สุโขทัยก็แตกแยกออกจากกัน เหมือนนักร้องดังแล้วแยกวงสมัยนี้ โดยที่กษัตริย์ที่ครองราชย์ต่อมาคือพระยาเลอไท และพระยางั่วนำถมไม่สามารถแก้ไข สถานการณ์ได้มากนัก จนสิ้นรัชกาลพระยางั่วนำถม พระยาลิไทซึ่งเป็นอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัยอยู่กำลังเพิ่งจะเสร็จจากการแต่งหนังสือไตรภูมิพระร่วงมาไม่นานนัก ก็ทนเห็นความวุ่นวายไม่ไหว

 

จึงจัดแจงยกทัพมาที่สุโขทัย แล้ว “เอาขวานประหารศัตรู” คือกำจัดเชื้อสายราชวงศ์ที่กำลังจะขึ้นครองราชย์อย่างผิดประเพณีเสีย แล้วขึ้นครองเมืองสุโขทัย จากเหตุการณ์ในศิลาจารึกตอนนี้ทำให้เราสังเกตว่า การรบกันระหว่างเจ้านาย สมัยก่อนนั้น เขารบกันด้วยขวาน

 

น้องๆ คนไหนอ่านมาถึงตอนนี้แล้วกำลังเรียนประวัติศาสตร์สุโขทัยอยู่ ก็อย่าจำ เอาไปตอบครูล่ะครับ เพราะคำว่า “เอาขวานประหารศัตรู” เป็นสำนวนมากกว่า อย่างน้อยๆ ในสมัยสุโขทัยคงมีดาบใช้ฟันกันแล้ว คงไม่ต้องรบกันด้วยขวาน ฮิฮิ

 

พระยาลิไทนี้เมื่อขึ้นครองราชย์ก็สามารถรวบรวมบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นได้อีกครั้ง และทรงทำนุบำรุงการพระศาสนา (พุทธ) เป็นอย่างมาก ทำให้สุโขทัยเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาในภูมิภาคทีเดียว มีการส่งพระเถระสำคัญๆ ไปเผยแผ่ศาสนาที่โน่นที่นี่ สร้างวัดอีกเพียบ จึงทรงได้สมญานามอันแสดงพระเกียรติยศว่า “พระมหาธรรมราชา”

 


แต่แล้วพระมหาธรรมราชาลิไทก็ต้องพบกับคู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญ คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ซึ่งสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นมาหมาดๆ ทรงไม่ยินดีที่จะเห็นว่า มีศูนย์อำนาจอยู่ในแคว้นหัวเมืองเหนือราชอาณาจักรของพระองค์

 

พระมหาเทวีจึงได้ปรากฏพระนามขึ้นในช่วงนี้เอง กล่าวคือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ยกทัพไปยึดเมืองสองแคว (พิษณุโลก) ไว้ได้แล้วให้พี่เขยขึ้นมาปกครอง เมืองสองแควนี้อยู่ห่างจากสุโขทัยไม่ถึง 80 กิโลเมตร พระมหาธรรมราชาลิไทก็คงจะทรงเห็นแล้วว่า กองทัพของสุโขทัยน่าจะมีความเจนจัดทางการรบเป็นรองทาง กรุงศรีอยุธยาอยู่ จึงใช้พระพุทธศาสนาเข้าเป็นเครื่องมือต่อรอง บางตำราว่า เสด็จ ออกบวชขอบิณฑบาตเมืองสองแควคืน

 

พระมหาธรรมราชาลิไททรงได้เมืองสองแควคืนครับ แต่มีเงื่อนไขบางอย่างผูกพัน ว่า พระองค์ต้องเสด็จจากสุโขทัยไปครองอยู่ที่นั่น ทิ้งราชบัลลังก์สุโขทัยไว้กับพระมหาเทวี ผู้เป็นน้องหญิงพระองค์ครองต่อไป ที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรง กำหนดเช่นนี้ก็เพื่อคานอำนาจทางฝ่ายสุโขทัยไว้กั้นการแข็งข้อไงครับ

 

และพระมหาเทวีได้ทรงปกครองดูแลสุโขทัยแทนพระเชษฐาธิราชอยู่เป็นเวลาถึง 7 ปี เวลา 7 ปีบนราชบัลลังก์สุโขทัยสำหรับสตรีสูงศักดิ์สมัยก่อน ที่เราทราบกันดีว่า ไม่เคยมีบทบาทในการปกครองแผ่นดินมาก่อนเลย จัดว่าเป็นช่วงเวลาที่สาหัสสากรรจ์พอสมควรนะครับ แสดงให้เห็นถึงสายเลือดผู้นำซึ่งมีอยู่ในองค์พระมหาเทวีไม่น้อยไปกว่าพระเชษฐาธิราชเลย

 

ดังนั้น แม้ว่าพระมหาเทวีจะไม่ได้ครองอำนาจในช่วง 7 ปีนี้ เสมอกษัตริย์ในพระราชวงศ์พระร่วง แต่ก็ได้ทำหน้าที่ดูแลกิจการบ้านเมืองด้วยดีมาตลอด ถ้าจะพูดว่า สำหรับสตรีที่ไม่เคยปกครองบ้านเมืองมาก่อน ทำได้ขนาดนี้ก็นับว่า เยี่ยมยอด แล้วครับ

 

เป็นชีวิตของผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง ที่ผู้หญิงเก่งในสมัยนี้ควรจะศึกษาอย่างยิ่งทีเดียว

 

จนกระทั่ง พ.ศ. 1912 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เสด็จสวรรคตนั้นแหละครับ พระมหาธรรมราชาธิลิไทจึงเสด็จกลับมาจากเมืองสองแคว มาระดมแนวร่วมของบ้าน เมืองต่างๆ ในแคว้นสุโขทัยอีกครั้ง

 

แต่โชคก็ไม่เข้าข้างฝ่ายสุโขทัย พระมหาธรรมราชาธิราชเจ้ากลับมาสถาปนา ความมั่นคงขึ้นอีกคำรบหนึ่งได้ประมาณ 2 ปีเท่านั้น พระองค์ก็สิ้นพระชนม์จากไป และในปีที่เสด็จสวรรคตนี้เอง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา ก็ ยกทัพกลับเข้ามายึดครองดินแดนในแคว้นสุโขทัยได้ทั้งหมด และทรงสนับสนุน ให้พระมหาเทวีเป็นเจ้าของกรุงสุโขทัยต่อไป การสนับสนุนนี้ผู้รู้บางท่านว่า คือการ สถาปนาพระมหาเทวีเป็นพระมเหสีองค์หนึ่งของพระองค์นั่นเองครับ

 

ซึ่งจะทำให้ได้ความมั่นใจว่า สุโขทัยอยู่ในขอบข่ายอำนาจของอยุธยาอย่างแน่นอน แต่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ก็ไม่ได้ทรงกระทำกับมหาเทวีอย่างกับเจ้านายของฝ่ายผู้แพ้สงคราม ทรงให้ความสำคัญอยู่มากเหมือนกันครับ เมื่อมีการ ระหองระแหงขึ้นในบ้านเมืองต่างๆ ในแคว้นโขทัย จนกระทั่งจะมากระทบพระมหา เทวี สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ก็จะทรงจัดการสะสางให้

 

พระมหาเทวีจะทรงเต็มพระทัยกับการเป็นพระมเหสี และปกครองสุโขทัยไว้ โดย ขึ้นตรงกับอยุธยาแค่ไหน ไม่อาจจะทราบได้ แต่ถ้าพระนางเลือกที่จะไม่ยอมและแข็งข้อจนถึงที่สุดแล้ว สุโขทัยก็มีสิทธิ์จะราบเป็นหน้ากลอง เหมือนอย่างที่พม่า และเขมรโดนในสมัยต่อมา

 

จะพูดตามหลักสตรีนิยมว่านี่คือการแสดงออกถึงการกดขี่ทางเพศก็ได้ แต่ก็น่าคิด เหมือนกันว่า เมื่อเผชิญกับผู้ชายที่มีอำนาจมากกว่า และไม่เพียงแต่ตนเอง ประเทศชาติจะต้องพินาศไปด้วยถ้าตัดสินใจพลาด แล้วพระมหาเทวีทรงแก้ปัญหานี้ได้อย่างที่ผู้หญิงสูงศักดิ์ในสมัยนั้นจะกระทำได้

 

ซึ่งผลก็คือ พระมหาเทวีทรงปกครองสุโขทัยมาด้วยความสงบสุขเรียบร้อยมาอีก เป็นเวลาถึง 10 ปี ไม่มีการสูญเสียอะไร นอกจากอำนาจอันชอบธรรมในการ ปกครองที่สุโขทัยเคยมีอยู่ แต่ไม่มีหลักฐานว่าทางอยุธยาจะมาก้าวก่ายในสิ่งใดอีก  ประชาชนอยู่กันด้วยความผาสุก พระมหาเทวีทรงปกครองสุโขทัยด้วยอำนาจเสมอกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง การพระศาสนาก็ทรงทะนุบำรุงสืบต่อจากที่พระ เชษฐาธิราชทรงริเริ่มไว้ ในระยะเวลา 10 ปีแห่งความสงบเรียบร้อยนี้ มีหลักฐาน กล่าวถึงพระนางน้อยมาก

 

นอกจากพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพระนางกับทาง อยุธยา พระพุทธรูปนี่สร้างในศิลปะอู่ทองรุ่นหลัง ซึ่งเป็นศิลปะของอยุธยาตอนต้น แต่พบอยู่ที่วัดมหาธาตุ สุโขทัย ที่ฐานพระพุทธรูปมีจารึกด้วยอักษรสุโขทัยความว่า พระพุทธรูปองค์นี้ “เจ้าแม่” ให้ สร้างไว้กับบูรพาราม คำว่า “เจ้าแม่” หมายถึง นางผู้เป็นใหญ่ คือ พระมหาเทวีนั่นเองครับ

 

พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองรุ่นหลัง (กลางพุทธศตวรรษที่ 20) ที่ “เจ้าแม่” โปรดให้สร้าง ถวายวัดบูรพาราม เมืองสุโขทัย ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย (ที่มา : คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี สำนักนายกรัฐมนตรี, 2513 : 269) จากhttps://www.bloggang.com/data/t/tuk-tukatkorat/picture/1405299210.jpg

พระมหาเทวีแม้จะเป็นสตรี แต่ก็ได้ปกครองแผ่นดินสุโขทัยอย่างสงบสุข ด้วยพระปรีชาญาณตลอดพระชนม์ชีพ วีรกรรมของพระนางแตกต่างจากวีรสตรีไทยในสมัยต่อๆ มา ซึ่งจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็ต่อเมื่อแสดงความกล้าหาญเยี่ยงบุรุษ ในการสงคราม

 

พระมหาเทวีไม่ทรงจำเป็นต้องแสดงความกล้าหาญเช่นนั้น ความกล้าหาญในการตัดสินใจแก้ปัญหาโดยให้สูญเสียน้อยที่สุดของพระนางมีมากกว่า แต่ไม่มีใครสนใจที่จะทำการจารึกไว้ และไม่มีการสนใจที่จะนำมาวิเคราะห์กันเท่านั้น จะสังเกตได้ว่า ประวัติศาสตร์อารยธรรมในตอนเหนือของประเทศไทยต่างก็เคยกล่าวถึงผู้หญิงเก่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงความสามารถในการปกครอง โดยไม่ ต้อง SHOW OFF ว่ามีความเด็ดเดี่ยวเยี่ยงชาย ไม่ว่าจะเป็นพระนางจามเทวีแห่งแคว้นหริภุญไชย หรือพระมหาเทวีแห่งแคว้นสุโขทัย

 

ผู้หญิงในสมัยหลังๆ ลงมา จะมีชื่ออยู่ได้ก็ต้องแสดงความกล้าหาญเยี่ยงบุรุษในการสงครามมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และผู้หญิงก็หลุดออกจากชนชั้นผู้นำในการ ปกครองมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเช่นกัน   

Monday, August 5, 2019

รายาอูงู นางพญากลางไฟสงคราม






รายอูงู (Ungu) ทรงเป็นพระขนิษฐภคนีองค์สุดท้องของรายาฮิเยา ซึ่งร่ำลือกันว่า ทรงพระสิริโฉมที่สุด

และพระนางก็ทรงเป็นกษัตริยาปัตตานีที่ต้องทรงเสียสละความสุขของพระองค์เองตั้งแต่ยังเป็นเจ้าหญิง เมื่อพระพี่นางฮิเยาทรงมีบัญชาให้เสกสมรสกับ สุลต่านอับดุลฆอฟูร มูไฮยิดดีน แห่งรัฐปาหัง เพื่อคานอำนาจของรัฐยะโฮร์ คู่แข่งสำคัญของนครปัตตานีเหนือคาบสมุทรมลายู

พระราชพิธีสมรสครั้งประวัติศาสตร์นี้ เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วไปทั้งในหมู่ประชาชนชาวปัตตานี และชาวต่างชาติที่เข้ามาตั้งสถานีการค้าอยู่ในเวลานั้น

ปีเตอร์ ฟลอริส พ่อค้าชาวอังกฤษซึ่งมากับเรือ เดอะ โกลบ (The Globe) และได้พำนักอยู่ในปัตตานีเป็นเวลานาน ในช่วงที่อังกฤษตั้งสถานีการค้าในปัตตานี ได้บันทึกสั้นๆ ไว้ว่า

วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๑๒๙  สุลต่านแห่งรัฐปาหังได้เสด็จมาถึงปัตตานี

วันที่ ๑ สิงหาคม เราได้รับเชิญจากองค์รายาปัตตานีเพื่อไปในงานพระราชพิธีสมรสระหว่างสุลต่านปาหังกับพระชนิษฐภคินีพระองค์สุดท้องของพระนาง


พระราชพิธีหเสกสมรส เจ้าหญิงอผูงู กับ สุลต่านอับดุลฆอฟูร์ แห่งรัฐปาหัง
ภาพจาก "ปืยใหญ่จอมสลัด"

ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ว่า ภายในพระราชหฤทัยของเจ้าหญิงอูงูนั้น ทรงขมขื่นเพียงใดกับการที่ต้องตามเสด็จพระราชสวามีไปประทับอยู่ที่ปาหังนานถึง ๒๘ ปี แม้ว่าจะเป็นราชกิจที่เจ้าหญิงในทุกบ้านเมืองของสมัยนั้นรู้พระองค์อยู่เสมอ ว่าต้องทรงโอนอ่อนผ่อนตามอยู่แล้วโดยพระราชฐานันดร เพื่อประโยชน์สุขของมาตุภูมิ

แต่ข้อที่แตกต่างจากเจ้าหญิงอื่นก็คือ พระนางกับพระขนิษฐภคินีทั้งสองพระองค์นั้นเจริญพระชันษามาด้วยกัน ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงและกลิ่นคาวเลือดในสงครามช่วงชิงราชบัลลังก์ปัตตานีมาด้วยกัน นับว่าเป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอด

การที่ต้องมาพรากจากกันเพื่อความมั่นคงของชาติบ้านเมือง น่าจะไม่เพียงสร้างความปวดร้าวในพระราชหฤทัยของเจ้าหญิงอูงูเท่านั้น แต่ยังเป็นความยากลำบากที่องค์รายาฮิเยาผู้เข้มแข็ง ต้องทรงกล้ำกลืนไว้ตลอดรัชสมัยของพระนางอีกด้วย

เกือบ ๓ ทศวรรษผ่านไป ที่พระมเหสีอูงูมิได้มีโอกาสคืนกลับมาเยือนมาตุภูมิอีกเลย จวบจนปลายรัชสมัยของพระพี่นางฮิเยา เมื่อสุลต่านอับดุลฆอฟูร พระสวามีเริ่มหมางเมินต่อความสัมพันธ์ระหว่างปาหังกับปัตตานี

จนทำให้องค์รายาฮิเยาแสดงพระราชอำนาจ ด้วยการส่งกองทัพเรือไปยังนครปาหังพร้อมกับพระราชสาส์นทูลเชิญให้สุลต่านปาหัง พาพระมเหสีอูงูเสด็จประพาสแผ่นดินเกิด พระนางจึงได้เสด็จนิวัติพระนครเป็นครั้งแรก พร้อมกับสุลต่านแห่งปาหัง และ เจ้าหญิงกูนิง (Kuning) พระราชธิดา

ครั้นเมื่อสุลต่านแห่งปาหังสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา พระนางอูงูและพระราชธิดาจึงได้เสด็จกลบไปประทับที่เมืองปัตตานีอย่างถาวร ตามพระบัญชาของรายาบีรู พระขนิษฐา ที่ได้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์นครปัตตานีต่อจากองค์รายาฮิเยา

การที่รายาบีรูโปรดฯ ให้พระมเหสีอูงูพาพระราชธิดากูนิงเสด็จกลับมาประทับที่ปัตตานี ก็เพื่อทรงปฏิบัติภารกิจในฐานะเป็นเจ้าหญิงรัชทายาท เช่นเดียวกับที่รายาฮิเยาเคยทรงกระทำมาแล้ว

แม้ว่าองค์รายาบีรูเองก็ทรงมีพระราชโอรส ๒ พระองค์กับ เจ้าชาย โต๊ะ อาโกะ หรือ ลิ้มโต๊ะเคี่ยม แต่เหตุใดพระราชโอรสทั้งสองนั้นจึงไม่ได้เป็นรัชทายาท ยังเป็นความลับอยู่


เจ้าหญิงอูงู กับ เจ้าหญิงบีรู ใน "ปืนใหญ่จอมสลัด"

เข้าใจว่า อาจเป็นเพราะพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ ทรงมีเชื้อสายชาวต่างชาติ ไม่มีความบริสุทธิ์ทางสายเลือดเท่าพระนางอูงู ถ้าขึ้นครองราชย์อาจไม่ได้รับการยอมรับ หรือทั้งสองพระองค์อาจสิ้นพระชนม์ไปแล้วตั้งแต่ก่อน พ.ศ.๒๑๕๗ ที่พระมเหสีอูงูกับพระราชธิดาเสด็จนิวัติพระนคร ก็เป็นได้

และองค์มเหสีอูงู ก็ถวายความจงรักภักดีแด่พระพี่นาง โดยมิได้ทรงแข็งขืนคัดค้าน เมื่อรายาบีรูพระราชทานเจ้าหญิงกูนิงให้หมั้นหมายกับ ออกญาเดโช เพื่อสานสัมพันธ์กับกรุงศรีอยุธยา

ในพระราชพิธีหมั้นอันอลังการ ระหว่างเจ้าหญิงกูนิงกับออกญาเดโช ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาพระราชหฤทัยขององค์มเหสีม่ายแห่งรัฐปาหังได้ว่าเป็นเช่นไร

ที่บัดนี้ พระราชธิดาผู้งดงามซึ่งทรงรักเสมอแก้วตาดวงใจ ต้องทรงมีพระชะตากรรมเช่นเดียวกับที่พระนางทรงได้รับมาตลอดระยะเวลาร่วม ๓ ทศวรรษ

กล่าวกันว่า องค์พระมเหสีม่ายสงบนิ่งอยู่ในความเงียบ ยอมรับพระบัญชาขององค์กษัตริยาบีรูโดยไม่มีเงื่อนไข ขณะที่เจ้าหญิงกูนิงนั้น เยาว์พระชันษาเกินกว่าที่จะคิดถึงกาลภาคหน้าแห่งชีวิตสมรส

พระนางอูงูทรงนิ่งสงบอยู่ในหนทางแห่งการทูตเพื่อแผ่นดิน ตราบจนสิ้นรัชสมัยของรายาบีรู


เจ้าหญิงอูงู จากภาพนตร์ "ปืนใหญ่จอมสลัด"
รับบทโดย แอนนา แฮมบาวริส

พุทธศักราช ๒๑๖๗ พระมเหสีม่ายอูงูแห่งนครปาหัง จึงทรงได้รับสถาปนาเป็นกษัตริยาองค์ที่ ๓ แห่งราชบัลลังก์ปัตตานี และทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๘ แห่งราชวงศ์ศรีวังสา

เวลานั้นเอง เหล่าขุนนางและพสกนิกรจึงประจักษ์แจ้งถึงความในพระราชหฤทัยของราชินีอูงูว่า ทรงคับแค้นในพระชะตากรรมของพระราชธิดาของพระนาง และทรงเกลียดชังสยามเพียงใด

นั่นก็คือ การที่นครรัฐปัตตานีได้ทำศึกสงครามกับกรุงศรีอยุธยาอีก หลังจากที่ได้มีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันมาตลอดสองรัชกาลแห่งองค์ขัตติยนารี ผู้ทรงเป็นพระขนิษฐาขององค์รายาอูงูเอง

การประกาศสงครามดังกล่าวของรายาอูงู อาศัยเหตุจากวิกฤติการณ์ภายในของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

เนื่องจาก ออกญากลาโหมสุริยวงศ์ ได้ยึดอำนาจจาก สมเด็จพระเจ้าอาทิตยวงศ์  ในพ.ศ. ๒๑๗๒ แล้วสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์มีนามว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

ทำให้องค์รายาอูงูไม่ทรงยอมรับพระราชอำนาจของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในฐานะกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ควรสืบสันตติวงศ์อย่างถูกต้องตามโบราณราชประเพณี

พระนางจึงทรงตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกรุงศรีอยุธยา ไม่ยอมรับคำนำหน้าพระนาม พระนางเจ้าหญิงที่กษัตริย์สยามทรงเรียกขานเจ้านครหญิงของปัตตานี ตั้งแต่รัชสมัยของพระพี่นางฮิเยา ทรงยุติการส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทอง และเครื่องราชบรรณาการไปถวายกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทุกปีดังที่เคยเป็นมาแต่ก่อน

และหลังจากนั้น รายาอูงูก็ทรงเตรียมพระนครเพื่อการพร้อมรบอยู่เสมอ ทรงมีบัญชาให้สร้างกำแพงเมืองเพิ่มเติม และแนวป้องกันถึง ๑๐ ชั้น ล้อมพระนครเพื่อป้องกันการโจมตีของกรุงศรีอยุธยา

ว่ากันว่า ป้อมปราการริมฝั่งน้ำปาปีรี ณ เวลานั้น เรียงรายด้วยปืนใหญ่ที่พร้อมจะสาดกระสุนใส่ข้าศึกตลอดเวลา รวมทั้งปืนใหญ่ ศรีปัตตานี และ ศรีนครา ซึ่งทรงอานุภาพเลื่องลือไปทั่วคาบสมุทร

ลุถึงพ.ศ.๒๑๗๓ องค์รายาอูงูทรงทราบข่าวว่า ทางกรุงศรีอยุธยาเตรียมการโจมตีปัตตานี จึงทรงมีพระราชโองการให้ส่งกองทัพไปตีเมืองพัทลุง แลนครศรีธรรมราช ที่อยู่ภายใต้อำนาจของอยุธยาในขณะนั้นเพื่อตัดกำลังเสียก่อน


ชุดเกราะของเจ้าหญญิงอูงู ในภาพยนตร์ "ปืนใหญ่จอมสลัด"
มีลักษณะคล้ายชุดเกราะของราลวงศ์อาหรับในยุคนั้น

นื่องจากถ้าทางกรุงศรีอยุธยาจะทำสงครามกับปัตตานี ก็มักจะสั่งให้กองทัพจากนครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุงบุกปัตตานีเสมอนั่นเอง

ไม่เพียงเท่านั้น กองทัพเรือปัตตานียังเข้ายึดเรือสินค้าอยุธยาลำหนึ่งที่กำลังเดินทางผ่านน่านน้ำปัตตานีไปชวา พร้อมด้วยพ่อค้าฮอลันดาสองคนและลูกเรือชาวญี่ปุ่นอีก ๗ คนด้วย

และพระนางยังทรงท้าทายพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาซ้ำอีก ด้วยการยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างเจ้าหญิงกูนิงกับออกญาเดโช

แล้วพระราชทานเจ้าหญิงกูนิงให้เสกสมรสกับ เจ้าชายยัง ดี เปอร์ตูวัน มูดา (Yang Di Pertuwan Muda) พระราชโอรสของ สุลต่านอับดุลยาลิล ชาห์ แห่งยะโฮร์ ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งของปัตตานี เพื่อเป็นการลบล้างข้อบาดหมางที่เคยมีซึ่งกันและกันอีกด้วย

จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างปัตตานีกับกรุงศรีอยุธยา ทำให้ชาติตะวันตกสองชาติที่มาทำการค้าอยู่ในอ่าวไทยและคาบสมุทรมลายูพลอยแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันไปด้วย โดยทางฮอลันดาเข้าข้างฝ่ายสยาม ขณะที่โปรตุเกสเข้าข้างฝ่ายปัตตานี

กล่าวสำหรับโปรตุเกสแล้ว ชนชาตินี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในสงครามระหว่างรัฐต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลานานแล้ว แต่สำหรับฮอลันดานั้นเพิ่งจะเป็นครั้งแรก

ทางฮอลันดาจึงถวายคำแนะนำสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ให้ทรงพยายามทำสิ่งใดก็ได้ที่จะทำให้ปัตตานีกับโปรตุเกสแตกแยกกันเสีย เพื่อความได้เปรียบในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้า

ในขณะเดียวกัน ฮอลันดาก็ได้เป็นผู้แทนของกรุงศรีอยุธยาในการเจรจากับทางปัตตานี เพื่อขอเรือสินค้าที่ถูกยึดไว้คืน

กัปตัน แอนโทนี่ เคน (Anthony Caen) ผู้คุมกองเรือสินค้าฮอลันดาจึงฉวยโอกาสนั้น กราบบังคมทูลเกลี้ยกล่อมองค์รายาอูงู ให้ทรงเลิกติดต่อกับโปรตุเกส รวมทั้งถวายคำแนะนำพระนาง ให้ส่งผู้แทนไปกรุงศรีอยุธยาเพื่อสานสัมพันธไมตรีขึ้นมาใหม่

เขากล่าวว่า การค้าขาย ไม่อาจดำเนินไปได้เนื่องมาจากการเกลียดชังต่อประเทศสยาม

แต่พระนางก็หาได้ทรงใส่พระทัยไม่

เมื่อการณ์เป็นไปดังนี้ ทางกรุงศรีอยุธยาจึงส่งกองทัพมายังปัตตานีอีกครั้งหนึ่งในพ.ศ.๒๑๗๕

ขณะนั้น เจ้าชายแห่งยะโฮร์พร้อมด้วยไพร่พล ๓,๐๐๐ คน เพิ่งมาถึงนครปัตตานีเพื่อจะสมรสกับเจ้าหญิงกูนิง

แต่ยังไม่ทันที่จะมีการจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส กองทัพของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็เข้าโจมตีนครปัตตานี 

ชาวปัตตานีกับชาวยะโฮร์ จึงได้ร่วมกันต่อสู้อย่างสุดความสามารถ และขับไล่กองทัพอยุธยาพ่ายแพ้กลับไป

เมื่อกองทัพสยามถอยกลับไปแล้ว จึงมีการจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสในพระราชวังอิสตานานีลัมอย่างใหญ่โต เป็นการฉลองชัยชนะไปในตัวด้วย

หลังจากที่อภิเษกแล้ว พระสวามีของเจ้าหญิงกูนิงก็ทรงอยู่ช่วยราชการที่ปัตตานีระยะหนึ่ง

การได้พระราชโอรสของสุลต่านแห่งยะโฮร์เป็นพระราชบุตรเขย ทำให้สภาพเศรษฐกิจและการเมืองของนครปัตตานีมั่นคงขึ้น แม้จะต้องเสียดินแดนไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นนครรัฐที่ใหญ่โต มีประชากรหนาแน่น

ดังที่พ่อค้าชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) ซึ่งมาเยือนปัตตานีในสมัยนั้นได้เขียนบันทึกว่า

นครปัตตานีมี ๔๓ แคว้น รวมถึงตรังกานูและกลันตัน  แต่เมื่อโอรสของสุลต่านโยโฮร์ได้สมรสกับบุตรีของราชินีปัตตานี เมืองตรังกานูก็เข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของโยโฮร์ สุลต่านโยโฮร์ได้ส่งขุนนางคนหนึ่งไปปกครองที่นั้น ปัตตานีจึงเหลือ ๔๒ แคว้น...

ปัตตานีมีเมืองท่า ๒ แห่งคือ กวาลาปาตานี  และกวาลาบือเก๊าะฮ์ ...

พลเมืองปัตตานีในขณะนั้นมีผู้ชายที่อายุเกิน ๑๖ ปีรวมทั้งสิ้น ๑๕๐,๐๐๐ คน...นครปัตตานีมีผู้คนหนาแน่น เต็มไปด้วยบ้านเรือน นับเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง จากประตูพระราชวังถึงหมู่บ้านบานามีบ้านเรือนไม่ขาดสาย ถ้าหากแมวตัวหนึ่งเดินบนหลังคาบ้านเหล่านั้น จากพระราชวังจนถึงปลายสุด มันจะเดินได้ตลอดโดยไม่จำเป็นต้องเดินบนพื้นดินเลย...

การพ่ายแพ้ครั้งที่สองของกองทัพสยามนั้น มีผลกระทบอย่างยิ่งต่อการเป็นศูนย์อำนาจของทางกรุงศรีอยุธยา

เมื่อสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเห็นว่า ลำพังกองทัพอยุธยาและหัวเมืองปักษ์ใต้จะเอาชนะปัตตานีไม่ได้อย่างแน่นอนแล้ว ก็ทรงมีพระราชโองการให้ส่งทูตไปเจรจากับบริษัทฮอลันดา เพื่อขอความช่วยเหลือในการโจมตีปาตานี โดยทางกรุงศรีอยุธยาแจ้งว่าจะจัดกองทัพยกไปปัตตานีทั้งทางบกและทางทะเลในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๑๗๖

ซึ่งทางฮอลันดาก็ให้คำมั่นที่จะส่งเรือรบจำนวน ๕ ลำ พร้อมทหารและอาวุธสมัยใหม่ไปร่วมรบ โดยขอผูกขาดการค้าไม้ฝาง และหนังกวางในสยามเป็นสิ่งตอบแทน

ซึ่งสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็ทรงสัญญาว่า จะพระราชทานตามคำขอถ้าได้รับการช่วยเหลือจากฮอลันดา

เมื่อตกลงกันแล้ว สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจึงทรงมีพระราชโองการให้ออกญาพระคลัง ออกญากลาโหม นำกองทัพม้า กองทัพช้าง ประกอบด้วยไพร่พลราว ๓๐,๐๐๐ มาตีนครปัตตานี เมื่อกองทัพดังกล่าวเคลื่อนลงมาถึงหัวเมืองปักษ์ใต้ ก็ได้รับการสนับสนุนรี้พลจากนครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุง จนมีกำลังพลมากถึง ๖๐,๐๐๐ คน

โดยในส่วนของกองทัพพัทลุงนั้น นำทัพโดยออกญาเดโช ผู้ผิดหวังจากการที่องค์รายาอูงูทรงยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างตัวเขากับเจ้าหญิงกูนิง นั่นเอง

กองทัพอยุธยาและประเทศราช ได้ยกทัพเข้าสู่ปากน้ำเมืองปัตตานีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๑๗๗ ทางสยามได้ทุ่มเทกำลังพลทั้งหมด พยายามรุกรบตีฝ่าแนวป้องกันทั้ง ๑๐ ชั้นเข้าสู่นครปัตตานี พร้อมกับกองทัพเรือเข้าโจมตีจากทางทะเล โดยไร้วี่แววของเรือรบฮอลันดาทั้ง ๕ ลำตามที่ตกลงกันไว้ 

ส่วนทางปัตตานีนั้นเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว รายาอูงูทรงออกบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง มีเจ้าชายยะโฮร์ ราชบุตรเขยพระองค์ใหม่นำทหารจากยะโฮร์ร่วมรบ

กองทัพบก และกองทัพเรือจากกรุงศรีอยุธยา ต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของกำแพงบีรู และแนวป้องกันทั้งสิบชั้น อานุภาพของมหาปืนใหญ่ศรีปัตตานี ศรีนครา ที่สาดกระสุนถล่มราวกับห่าฝนทันทีที่เข้าโจมตี รวมทั้งกองเรือรบจากยะโฮร์และปาหังกว่า ๕๐ ลำ สมทบด้วยเรือรบโปรตุเกสอีก ๔ ลำ ที่เข้ามาช่วยปัตตานี หลอมรวมกับการขาดประสบการณ์การรบทางทะเลของทหารอยุธยา และเสบียงที่หมดลงอย่างรวดเร็ว


เจ้าหญิงอูงู กับนายทหารราชองครักษ์ของลังกาสุกะ
(ชื่อที่ในภาพยนตร์ "ปืนใหญ่จอมสลัด" ใช้แทนปัตตานี)


ทำให้กองทัพอยุธยาได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนต้องถอยทัพกลับไปสงขลาในเวลาเพียง ๑๐ วันหลังจากนั้น คือวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๑๗๗

ว่ากันว่า การศึกครั้งนี้ทำให้สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงกริ้วฮอลันดามาก พระองค์ทรงมีพระราชโองการให้กักขังพวกพ่อค้าฮอลันดาในกรุงศรีอยุธยา และห้ามชาวสยามคนใดติดต่อค้าขายกับชาวฮอลันดาอีก

แต่ในเวลาต่อมา ก็ด้องทรงพระราชทานอภัยโทษแก่ชาวฮอลันดา เมื่อทรงทราบว่าทางฮอลันดาส่งเรือรบไปช่วยในสงครามปัตตานีตามที่ได้ตกลงกันไว้ แต่เรือรบฮอลันดาไปถึงช้าเกินไป คือไปถึงเมื่อกองทัพสยามถอยกลับสงขลาแล้ว เรือรบฮอลันดาทั้ง ๕ ลำจึงต้องถอยกลับไปเช่นกัน

ในพงศาวดารปัตตานีระบุว่า ในขณะที่กองทัพสยามยังอยู่ที่ปัตตานีนั้น ทางฝ่ายปัตตานีได้ส่งคนปลอมตัวเป็นทหารเกณฑ์จากหัวเมืองปักษ์ใต้เข้าไปผสมกลมกลืนอยุ่ในกองทัพ และไปช่วยกินเสบียงของทางอยุธยาด้วย จึงทำให้เสบียงของฝ่ายอยุธยาร่อยหรอไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ

การกระทำของฝ่ายปัตตานีเช่นนี้  ม.ล.มานิจ ชุมสาย เขียนไว้ใน ประวัติศาสตร์มลายูและปัตตานี พ.ศ.๒๕๑๗ ว่า เป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์มาเลย

อ.บางนรา ผู้เขียนหนังสือ ปัตตานี: อดีต-ปัจจุบัน วิจารณ์ว่า เรื่องนี้น่าจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง เพราะกองทัพไทยอันมหึมานั้นเป็นกองทัพผสม มีทั้งอยุธยา นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา รวมทั้งทหารมลายูที่มาจากไทรบุรีอีกด้วย จึงเป็นการง่ายที่ชาวปัตตานีจะร่วมมือกับชาวไทรบุรีซึ่งเป็นชาวมลายูด้วยกัน ไปสมทบกินข้าวไทยให้หมดไปเร็วๆ

๑๘ เดือนหลังการศึก รายาอูงูสิ้นพระชนม์ ทิ้งราชบัลลังก์ปัตตานีไว้ให้พระราชธิดากูนิงครอบครอง

แต่นโยบายต่อกรุงศรีอยุธยานั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย

พระราชธิดาของพระนางนั้นไม่ทรงต้องการสงคราม จึงได้มีการเจรจาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง โดยปัตตานียินยอมส่งเครื่องราชบรรณาการแก่สยามเหมือนเดิม


เจ้าหญิงอูงู ปลอมพระองค์ไปสืบหาตัว ลิ้มโต๊ะเคึ่ยม  ใน "ปืนใหญ่จอมสลัด"

รายาอูงูสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๑๗๘ พระนางทรงสิ้นพระชนม์ไปพร้อมกับความสำเร็จ ที่ได้ทรงกระทำให้รัฐต่างๆ ทั่วคาบสมุทรมลายู และตลอดน่านน้ำเอเชียแปซิฟิก ได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของนครรัฐปัตตานี ที่สั่นคลอนอำนาจเหนือหัวเมืองปักษ์ใต้ของกรุงศรีอยุธยาได้ในสงครามใหญ่ถึง ๓ ครั้ง ที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของกองทัพเรือมหึมาจากแผ่นดินใหญ่ทั้งสามครั้ง

จนกล่าวกันว่า ในแผ่นดินที่ ๓ แห่งปัตตานีซึ่งครอบครองโดยกษัตริย์หญิง นครรัฐแห่งนี้ได้เข้าสู่จุดที่สมบูรณ์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กลางการค้าที่มั่งคั่งร่ำรวย และแสนยานุภาพทางทหารที่ไม่เป็นรองใคร

ปัจจุบัน กุโบร์ หรือพระราชสุสานของรายาฮิเยา รายาบีรู และรายาอูงู ยังคงปรากฏอยู่ในพื้นที่บ้านปานาเระ ต.บาราโหม อ.เมือง จ.ปัตตานี ในสภาพของแนวกำแพงอิฐเตี้ยๆ ก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในแบ่งเป็นสามช่อง  แต่และช่องตั้งใบเสมาหินจารึกชื่อองค์รายาทั้งสามไว้อย่างชัดเจน 

พระราชสุสานดังกล่าวนี้ สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย ปราศจากความหรูหราใหญ่โตอัครฐานหรือแม้แต่ลวดลายประดับตกแต่งใดๆ  แม้ว่าจะเป็นที่ประทับชั่วนิรันดร์ ของอดีตนางพญาผู้ทรงอำนาจในสมัยรุ่งเรืองที่สุดของนครรัฐปัตตานีก็ตาม


พระราชสุสาน ของ ๓ นางพญาแห่งปัตตานี
ตามสภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน

สถานที่ดังกล่าวเวลานี้ อยู่ไม่ไกลจากมัสยิดกรือเซะ และศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมากนัก ที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่ต่างช่วยกันดูแลรักษากันตามมีตามเ กิด ปัจจุยันได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ด้วยการสร้างอาคารมีหลังคาคลุมไว้อย่างมั่นคง และปรับปรุงพื้นที่โดยรอบให้ดีขึ้น เท่าที่จะจำได้แล้ว

ชาวบ้านปานาเระ มีเพลงพื้นบ้านที่กล่าวถึงรายาทั้งสามพระองค์ เป็นภาษามลายูปัตตานีที่ไพเราะน่าฟัง ฃึ่งยังคงขับขานกันต่อมาจนทุกวันนี้อีกด้วย


..........................


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

ขอขอบคุณ สหมงคลฟิล์ม เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพจากาพยนตร์ ปืนใหญ่จอมสลัด


Total Pageviews