บันทึกบทความเก่าของอ.กิตติ วัฒนะมหาตม์ จาก
คอลัมน์หลากหลายลีลา “ผู้หญิงในประวัติศาสตร์”
หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หน้าสตรี-เด็ก 24 เมษายน พ.ศ.2534
(3/4)
Catherine the Great, c. 1780s from
สมัยหนึ่งในรุสเซียก่อนการสิ้นอำนาจของราวงศ์โรมานอฟและระบบกษัตริย์รุสเซียเป็นเวลานาน เป็นยุคสมัยแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่สุดของจักรวรรดิรุสเซีย มีการแผ่อำนาจไปถึงตุรกีและโปแลนด์ และเป็นฐานแห่งการพัฒนาสู่ความเป็นมหาอำนาจในโลกปัจจุบัน ยุคสมัยดังกล่าวนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำประเทศที่เป็นสตรีคนหนึ่ง คือพระนางแคทเธอรีนที่ 2 อันมีสมญาว่า CATHERINE THE GREAT หรือแปลเป็นไทยคือ “แคทเธอรีนมหาราชินี” ครับ
เป็นที่น่าแปลกใจว่า
แม้ในปัจจุบันรุสเซียจะมิได้ปกครองโดยระบบกษัตริย์อีกต่อไปแล้ว
แต่ประชาชาติรุสเซียต่างก็ยังคงพากันยกย่องมหาราชินีองค์นี้
แม้ว่าพระราชประวัติและพระจริยาวัตรของพระนางที่ได้รับการบันทึกไว้จะขัดกับสามัญสำนึกของคนบางคนอยู่มาก
และแม้ว่าพระนางจะมิใช่ชาวรุสเซียโดยกำเนิด แต่เป็นเจ้าหญิงเยอรมัน
ครับ
แคทเธอรีนมหาราชินีทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1729 ที่เมืองซเตทติน (STETTIN) ในแคว้นพอเมราเนีย (POMERANIA)
อยู่แถวๆ ฝั่งทะเลบอลติกทางตอนเหนือของเยอรมนีโน่น
แต่ขณะนั้นเมืองนี้ยังเป็นรัฐในความคุ้มครองของปรัสเซียสมัยพระเจ้าเฟรเดอริค
วิลเลี่ยมที่ 1 ครับ
พระบิดาของแคทเธอรีนก็คือเจ้าชายริสเตียเอากุสต์ แห่งแคว้นอันฮาลท์-แซร์บส์
ซึ่งพระเจ้าเฟรเดอริคส่งไปครองเมืองชเตทตินนั่นเอง ส่วนพระมารดามีชื่อว่า
เจ้าหญิงโยฮันน่า เอลิซาเบธ
เจ้าหญิงแคทเธอรีนมิได้มีชื่อว่าแคทเธอรีนมาแต่แรกนะครับ
พระนามเดิมภาษาเยอรมันของพระนางคือ โซฟี เอากุสต์ ฟรีเดริเก้ (SOPHIE
AUGUSTE FRIDERIKE) เพราะเหตุใดจึงทรงเปลี่ยนพระนามในตอนหลัง
ประเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังต่อไปครับ ตอนนี้ขอเรียกว่าเจ้าหญิงโซฟีไปก่อนละกัน
เจ้าหญิงโซฟีได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีสมฐานะครับ
และจัดว่าทรงมีพระเชาวน์ดีมากด้วย ได้ติดตามพระมารดาไปเยือนราชสำนักต่างๆ
ตั้งแต่มีพระชนม์ได้ 3 ชันษา
ซึ่งทำให้พระนางได้พบปะกับบุคคลสำคัญต่างๆ เป็นจำนวนมากรวมทั้งพระเจ้าเฟรเดอริค
วิลเลียมที่ 1 ด้วยครับผม พอปีค.ศ.1743
ก็มีเรื่องที่จะทำให้เจ้าหญิงโซฟีต้องเสด็จจากเยอรมนีไปตั้งแต่ยังรุ่นสาวเลยทีเดียว
ในปีนั้น
เอ็มเปรสเอลิซาเบธแห่งรุสเซียซึ่งมิได้อภิเษกสมรส
แต่มีรัชทายาทเป็นพระเจ้าหลานเธอคือเจ้าชายปีเตอร์แห่งโฮลซไตน์ ก็อตทอร์ป
ต้องการจะหาพระชายาให้กับรัชทายาทองค์นี้ แล้วก็ทรงเลือกเจ้าหญิงโซฟีนั่นเอง
โดยมีพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราช
(ซึ่งขึ้นครองปรัสเซียต่อจากพระเจ้าเฟรเดอริควิลเลียมที่ 1)
เป็นตัวตั้งตัวตีอยู่เบื้องหลัง เรียกว่าเป็นเรื่องการเมืองก็แล้วกันนะครับ
พอถึงปีต่อมาเจ้าหญิงโซฟีซึ่งมีพระชนมายุเพียง 16 ชันษา
ก็เสด็จไปรุสเซียพร้อมกับพระมารดา
คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่าการแต่งงานระหว่างเจ้านายชั้นสูงของยุโรปสมัยก่อนนั้น
คนที่จะต้องแต่งงานจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรเองทั้งสิ้น
ทำได้ก็เพียงก้มหน้ารับการตัดสินใจของผู้หลักผู้ใหญ่เท่านั้นเองครับ
เจ้าหญิงโซฟีต้องไปเข้ารีตเป็นออร์โธด็อกซ์อันเป็นศาสนาที่นับถือกันในรุสเซียสมัยนั้นก่อน
หลังจากนั้นก็ทรงเรียนภาษารุสเซีย จนคล่องแล้ววันที่ 21
สิงหาคม 1745 ก็เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายปีเตอร์
พระนามแคทเธอรีนก็ได้มาในวาระนี้เองแหละครับ
Oil on canvas portrait of Empress Catherine the Great by
Russian painter Fyodor Rokotov from
สาเหตุที่จะได้พระนามใหม่คือ ตามธรรมเนียมออร์โธด็อกซ์เขาให้ใช้ชื่อเพียงชื่อเดียว ซึ่งเจ้าหญิงโซฟีก็คงจะใช้พระนามโซฟีอยู่นั่นเอง แต่บังเอิญซะไม่มีละที่พระนามนี้ไปตรงกับพระนามของแกรนด์ดัชเชสโซฟี แกรนด์ดัชเชสผู้นี้ประวัติน่ารักดีเหมือนกันครับ คือเพิ่งจะพยายามก่อกบฏและถูกสั่งบวชชีไปตลอดชีวิต เอ็มเปรสเลยไม่ทรงยินดีให้เจ้าหญิงโซฟีใช้ชื่อนี้จึงยกพระนามของพระมารดาของตนให้ คือพระนาม “แคทเธอรีน” ดังนั้นต่อไปนี้ผมก็จะขอเรียกพระนามแคทเธอรีนนี้โดยตลอดนะครับ
หลังจากนี้พระมารดาถูกสั่งกลับเยอรมนี
แกรนด์ดัชเชสแคทเธอรีน (พระยศได้ภายหลังการอภิเษกสมรส)
ถูกตัดขาดจากการติดต่อกับพระมารดาและประเทศอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพระนางก็เหตุผลทางการเมืองแหละครับ
แถมตั้งแต่ปี 1745-1762 ที่ทรงเป็นพระชายาของรัชทายาทรุสเซียอยู่ก็ขมขื่นยังกับอะไรดี
ได้ทรงบันทึกไว้โดยตลอดว่าแกรนด์ดยุคปีเตอร์นั้นมิได้เอาใจใส่พระนางฉันสามีภรรยาที่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว
ตัวอย่างเช่น
-ก่อนเข้านอนแต่ละวัน ปีเตอร์จะเสวยของว่าง
เสร็จแล้วเข้าห้องบรรทม คุยแต่เรื่องไร้สาระสักครู่ก็บรรทมหลับ
-ปีเตอร์ไปติดพันสตรีอื่น
แถมเอามาเปรียบเทียบกับพระนางอยู่บ่อยๆ
บางครั้งถึงกับพูดเปรียบเทียบกันต่อหน้าพวกมหาดเล็กว่าสตรีคนนั้นคนนี้สวยกว่าแคทเธอรีน
-บางครั้งขณะบรรทมอยู่นพระที่เดียวกัน
ปีเตอร์ก็พรรณนาถึงความงามของสตรีในราชสำนักที่พระองค์โปรดปรานให้พระนางฟัง
ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกครับที่แกรนด์ดัชเชสแคทเธอรีนจะต้องทรงเบื่อหน่ายเหลือกำลัง
ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด 9 ปี
พระนางจึงใช้เวลาว่างทั้งหมดในการอ่านหนังสือ
นอกจากนี้ก็ทรงหาข้าราชการที่โปรดปรานเป็นพิเศษมาเป็นคู่รัก
พระโอรสองค์แรกของพระนางก็เป็นเชื้อสายของคู่รักคนหนึ่งละครับ
เรื่องนี้พระนางยอมรับเอง
Coronation of Catherine II by Stefano Torelli from http://www.saint-petersburg.com/royal-family/catherine-the-great/
มีผู้บันทึกไว้ว่าพระนางมีพระชนมายุมากขึ้นเท่าไหร่
ก็ยิ่งมีคู่รักเป็นเด็กมากขึ้นเท่านั้น คู่รักคนสุดท้ายอายุ 22 ปี ในขณะที่พระนางทรงมีพระชนม์ถึง 60 ชันษาแล้ว
มีผู้จดบันทึกไว้อีกว่าพระนางทรงมีคู่รักถึง 55 คน
ตลอดพระชนม์ชีพ คู่รักเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ต่อพระนางครับ ดังเช่นคนหนึ่งคือ
เกรเกอรี่ ออร์ลอฟ
ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการอัญเชิญพระนางขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนปีเตอร์
เรื่องบันเทิงเกี่ยวกับคู่รักมากถึง 55
คนนี้ขอได้พิจารณาด้วยนะครับ เพราะแม้ว่าจะเป็นบันทึกร่วมสมัยที่ใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ก็จริง
แต่เราก็ไม่มีทางทราบเลยว่าผู้บันทึกได้ทำไว้โดยความรู้สึกที่เป็นอคติมากน้อยเพียงใด
ผมมองว่า
ใครจะมีเรื่องส่วนตัวเป็นอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของเขาละครับ
ไม่ว่าชายหรือหญิงก็มีสิทธิ์นี้โดยเท่าเทียมกัน คือ สิทธิ์ที่จะตัดสินใจกับเรื่องของตนเอง
ผลงานของเขาต่างหากที่ควรนำมาสรรเสริญหรือตำหนิกัน
ซึ่งจะได้เห็นกันละครับว่าเรื่องอื้อฉาวของคู่รักต่างๆ
นั้นเทียบไม่ได้เลยกับผลงานที่พระนางสร้างไว้ให้กับประเทศชาติ
มหาราชินีองค์นี้ทรงใช้เวลาถึง 12-15
ชั่วโมงต่อวันในการทำงาน ส่วนหนึ่งก็คงมาจากกรณีที่ว่าทรงขึ้นครองราชย์โดยมิได้มีเชื้อสายรุสเซีย
ก็เลยทรงต้องการการยอมรับจากประชาชนชาวรุสเซียด้วยน่ะครับ
งานใหญ่อันดับแรกของพระนางคือ
การประมวลกฎหมายเดิมๆ ที่สุดแสนจะเลอะเทอะอะไรขนาดนั้นของรุสเซียขึ้นใหม่เรียกว่า
นาคาซ (NAKAZ) ครับ ทรงประมวลด้วยพระองค์เองแม้จะไม่ทรงมีความรู้ทางกฎหมายมาก่อนก็ยังบากบั่นไปหาหนังสือวิชากฎหมายดีๆ
มาอ่านจนรวบรวมและปริวรรตขึ้นสำเร็จครับ เป็นกฎหมายที่ทันสมัยทีเดียว
แต่คนรุสเซียไม่พอใจพระนางอยู่แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่เห็นความดีหรอกครับ ยิ่งในปี 1764
ทรงออก พรบ.ริบที่ดินของวัด เพราะทรงเห็นว่าพวกบาทหลวงเอาเงินที่ได้จากที่ดินไปใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยดีชะมัดเลย
พวกบาทหลวงก็เลยไปยุประชาชนให้เกิดความไม่พอใจต่อพระนางมากขึ้น
ความไม่พอใจยิ่งหนักเมื่อพระนางทรงปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นและให้อำนาจกับพวกขุนนางมากจนเป็นที่ขนานนามกันว่า
“ยุคทองของพวกขุนนาง” ในที่สุดก็เกิดกบฏขึ้นหลายครั้งครับ ครั้งใหญ่ที่สุดคือ
กบฏปูกาเซฟ (PUGACHEV) ในปี 1773 ที่เมืองคอสแซค
พระนางปราบได้ด้วยกำลังทหารครับ แต่ประชาชนก็คงไม่ยินดีด้วยแน่ๆ
แต่ถึงจะทรงไม่ประสบกับความราบรื่นกับการบริหารภายในประเทศเช่นนี้
เราก็ต้องยกย่องพระนางในด้านการต่างประเทศละครับ
พระนางได้ทรงดำเนินนโยบายต่างประเทศจนทำให้ได้ดินแดนจากโปแลนด์ในปี 1793 คือ ได้แคว้นลิธัวเนียเกือบทั้งหมด แคว้นยูเครนทางตะวันตกเกือบทั้งหมด
ได้ประชาชนชาวโปลมากกว่า 3 แสนคนครับ
หลังจากนั้นทำสงครามกับตุรกีและชนะจนหาทางออกทางทะเลได้ คือ ทะเลดำ
ซึ่งจะทำให้เกิดการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจที่มั่นคงตามมารวมทั้งฐานะทางการเมืองด้วย
พระราชกรณียกิจเหล่านี้ละครับที่ทำให้รุสเซียกลายเป็นมหาอำนาจที่ล้นเหลือในเวลาต่อมา
ผมจึงได้พยายามชี้ให้เห็นว่าภารกิจเหล่านี้เป็นของพระนาง
เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ามากกว่าการตัดสินพระจริยาวัตรส่วนพระองค์ ซึ่งพูดกันมาก
และมีหนังสือหลายเล่มที่กล่าวถึงพระนางแคทเธอรีนที่จะต้องกล่าวแต่เรื่องคู่รักของพระนางเพียงอย่างเดียว
โดยไม่อ้างเลยสักนิดว่าทรงทำอะไรให้ชาติบ้านเมืองที่พระนางเองก็ไม่ได้เกิดมาในผืนแผ่นดินนั้นด้วยซ้ำไป
เมื่อก่อน
พวกเราชอบเอาวัฒนธรรมทางความคิดที่ล้าหลังของเราเองไปเที่ยวตัดสินคนในวัฒนธรรมอื่นเขาเสมอ
ยิ่งโดยเฉพาะกับผู้หญิงที่มีเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาแล้วยิ่งใส่กันสนุกไปเลยละครับ
เรื่องแบบนี้ผมว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผล คือ
เราไปตามเล่นงานคนที่ตายไปแล้วไม่มีสิทธิ์จะแก้ตัวได้และโดยเฉพาะคนคนนั้นเป็นผู้หญิง
Marble statue of Catherine II in the guise of Minerva
(1789–1790), by Fedot Shubin from
ยกเว้นแต่ว่าถ้าทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวไม่เอาไหนพอๆ
กันก็น่าประณาม ไม่ว่าจะในวัฒนธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมไทย
No comments:
Post a Comment