Wednesday, January 27, 2016

บทสรุปจากเวทีเสวนา สืบค้นพระราชประวัติพระนางจามเทวี ๑



ภาพจาก http://www.lmf-lopburi.com

ในบทความที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงแนวความคิดของผมเองในการตีความตำนานพระนางจามเทวีหลายฉบับ ร่วมกับหลักฐานแวดล้อมต่างๆ ในหนังสือ จอมนางหริภุญไชย ไปแล้วนะครับ

ต่อจากนี้ไป ผมก็จะขอนำเอาบทสรุปจากเวทีเสวนา สืบค้นพระราชประวัติพระนางจามเทวี ที่ อบจ.ลำพูนจัดขึ้นครั้งล่าสุด จากบันทึกใน Facebook ของ Pensupa Sukkata ที่โพสต์ไว้เมื่อ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๘ ที่ผ่านมา และจะได้สอดแทรกการวิเคราะห์ของผมเป็นลำดับไป ซึ่งต้องขอขอบคุณ ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ เจ้าของบันทึกไว้ ณ ที่นี้ ด้วยครับ

โดยวิทยากรคนแรกที่เปิดประเด็นเสวนาในภาคเช้า คือ ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ อดีตหัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ปัจจุบันเป็นอาจารย์สาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวว่าการจะสืบค้นพระราชประวัติพระนางจามเทวีนั้น จำเป็นจะต้องศึกษาหลักฐาน ๓ ด้านดังนี้ให้แน่ชัด 

๑.หลักฐานด้านโบราณคดี 

๒.หลักฐานด้านประวัติศาสตร์ 

๓.หลักฐานด้านคำบอกเล่า มุขปาฐะ นิทานพื้นบ้าน 
 
เกี่ยวแก่หลักฐานด้านโบราณคดี  ดร.เพ็ญสุภา ยังแยกย่อยว่าประกอบด้วยโบราณวัตถุ (อาทิ เทวรูป พระพุทธรูป เครื่องปั้นดินเผา) และโบราณสถาน (สถูปเจดีย์ และซากโบราณคดี) โดยมีเงื่อนไขว่าหลักฐานทั้งหมดนี้ต้องมีอายุเก่าแก่ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เท่านั้น เนื่องจากพระนางจามเทวีเป็นบุคคลในช่วงเวลาดังกล่าว 

ส่วนหลักฐานด้านประวัติศาสตร์ ต้องศึกษาจากศิลาจารึก น่าเสียดายว่าในลำพูนเราไม่พบจารึกที่อายุเก่าแก่ร่วมสมัยกับพระนางจามเทวีในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เลย พบแต่จารึกที่มีอายุในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ขึ้นไปในสมัยพระญาอาทิตยราช พระญาธัมมิกราชา พระญาสววาธิสิทธิ  

ศิลาจารึกหลักเก่าสุดที่มีการกล่าวถึงพระนางจามเทวีคือ จารึกจุลคีรีที่พระธาตุดอยน้อย อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ เขียนในสมัยพระเมืองแก้ว ประมาณ พ.ศ.๒๐๔๐ เขียนเรื่องราวย้อนหลัง เอ่ยถึงพระนางจามเทวีมาสร้างพระธาตุที่นั่น



ภาพจาก http://thainews.prd.go.th

ดังนั้นควรมีการศึกษาจารึกรุ่นเก่าในดินแดนอื่นละแวกเพื่อนบ้านประกอบกันด้วย เช่นจารึกที่ชวา อินโดนีเซีย สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ กล่าวถึงพระนางจันทรเทวี ถูกส่งจากราชวงศ์ไศเลนทร์ ศรีวิชัยไปเป็นมเหสีของกษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราช (สมัยก่อนเรียกตามพรลิงค์) 

หรือจารึกที่นครราชสีมา พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ใช้อักษรมอญผสมปัลลวะ เรียกจารึกบ่ออีกา กล่าวถึง ธิดาของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เป็นประธานในการสร้างวัดถวายแด่พระพุทธศาสนา สะท้อนว่าสตรีมีบทบาทในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาแล้ว 

ส่วนหลักฐานด้านลายลักษณ์อีกประเภทนอกเหนือจากศิลาจารึก ก็คือตำนานและพงศาวดารที่มีการกล่าวถึงพระนางจามเทวี ล้วนแต่เรียบเรียงขึ้นในยุคหลัง ห่างไกลจากเหตุการณ์จริงมากกว่า ๘๐๐ ปี ที่ใช้อ้างอิงกันมากมีอยู่ ๒ กลุ่ม 

กลุ่มแรกคือตำนานฝ่ายวัด หรือฝ่ายศาสนจักร เขียนโดยพระภิกษุสายลังกาวงศ์ ยุคล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๐๒๑ ตอนต้น อาทิ  ชินกาลมาลีปกรณ์ ตำนานมูลศาสนา จามเทวีวงศ์ พงศาวดารหริปุญไชย ตำนานพระธาตุหริภุญไชย เป็นต้น รวมถึงพงศาวดารที่มาเขียนใหม่ในลักษณะ ยำหรือหยิบเรื่องราวเก่ามาปรุงใหม่ แทรกความเห็นเพิ่มอีก ๒ เล่มในยุคต้นรัตนโกสินทร์ คือ พงศาวดารเหนือ และพงศาวดารโยนก เขียนโดยชาวสยาม 

อีกกลุ่มเป็นตำนานฝ่ายบ้าน เขียนโดยชาวมอญบ้านหนองดู่-บ่อคาว ด้วยอักษรมอญ ยุคล้านนา พุทธศตวรรที่ ๒๐ ร่วมสมัยกับกลุ่มตำนานฝ่ายวัด แต่เนื้อหาแตกต่าง ปัจจุบันถูกนำไปไว้ที่กรุงปารีสโดยนักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสสมัยรัชกาลที่ ๕ ชื่อ Camille Notton กลุ่มนี้ยังรวมภึงตำนานฉบับฤๅษีแก้ว ที่นายสุทธวารี สุวรรณภาชน์ถอดความ และได้รับการเผยแพร่ทั่วลำพูน

ปัญหาทั้งหมดทั้งมวล คือความขัดแย้งกันระหว่างตำนานสองกลุ่มนี้ ที่ทำให้นักประวัติศาสตร์หลายต่อหลายรุ่นมิอาจสรุปได้ลงตัว ต้องมานั่งชำระสะสางกันหลายเวทีแล้ว นั่นคือ ความแตกต่างของเนื้อหา การระบุศักราช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้คนมากที่สุดคือปมปริศนาเรื่อง ชาติกำเนิดของพระนางจามเทวี

ที่ตำนานฝ่ายวัด กล่าวว่าพระนางได้รับการอัญเชิญมาครองเมืองหริภุญไชยโดยฤๅษีวาสุเทพ ในฐานะพระราชธิดากษัตริย์ละโว้ (แต่ไม่ระบุว่าเกิดที่ไหน ชาติพันธุ์อะไร)  ส่วนตำนานฝ่ายบ้าน กล่าวว่าพระนางจามเทวี เป็นธิดาเศรษฐีอินตา เกิดที่บ้านมอญหนองดู่-บ่อคาว (อ.ป่าซาง จ.ลำพูน) มีนกคาบไปตกลงกลางใบบัว ฤๅษีเห็นจึงนำไปเลี้ยง แต่เกรงคนติฉินนินทา จึงอธิษฐานจิตปล่อยให้ลอยน้ำไป มีกากวานร (ลิงดำ) คอยดูแล จนกลายเป็นธิดาบุญธรรมของพระเจ้ากรุงละโว้ในที่สุด 

ดังนั้นการจะเรียบเรียงพระราชประวัติของพระนางจามเทวีด้วยความให้เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง ปัญหาคือจะหาข้อยุติ ณ ที่ใด และโดยใคร ดังนั้นหากเรายึดหลักฐานด้านโบราณคดีมาช่วยเป็นตัวกำกับอีกชั้นหนึ่ง น่าจะช่วยทำให้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด

ครับ, นี่เป็นการเปิดประเด็นเสวนาโดยอดีตหัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ซึ่งคลุกคลีกับหลักฐานทางโบราณคดีในลำพูนและจังหวัดใกล้เคียงมาอย่างยาวนาน และเป็นกำลังสำคัญในการจัดงานเสวนาเกี่ยวกับพระนางจามเทวีในลำพูนหลายครั้งที่ผ่านมา (รวมทั้งครั้งนี้)

ซึ่ง ดร.เพ็ญสุภาได้นำเสนอภาพรวมของปัญหาที่มีอยู่ รวมทั้งวิธีการคลี่คลายปัญหาเหล่านั้น ซึ่งเป็นมาตรฐานทางโบราณคดีที่ควรจะนำมาใช้กันในเบื้องต้น

หลังจากการเปิดประเด็นโดย ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ แล้ว เป็นเวทีแสดงความคิดเห็นของปราชญ์ท้องถิ่นหลายท่าน ได้แก่ พระครูสิริสุตาภิมณฑ์ เจ้าคณะอำเภอทุ่งหัวช้าง, อ.กำธร ธิฉลาด และ อ.วิธูร บัวแดง นักคติชนวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินรายการโดย อ.นพพร นิลณรงค์ สถาบันวิจัยหริภุญชัย 

อ.นพพร เปิดประเด็นว่าเรื่องราวของพระนางจามเทวี ในรูปแบบเรื่องเล่าของชาวบ้านมีทั้งความแตกต่างและความสอดคล้องกับตำนานกระแสหลัก มีข้อสังเกตว่า ใครๆ ก็ปรารถนาอยากเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินที่พระนางจามเทวีเสด็จผ่าน แม้แต่ที่แพร่แถววังชิ้น ร้องกวาง ยังผูกตำนานให้พระนางหลงทางไปแถวนั้นก่อนเข้าเมืองลำพูน ตำนานทั้งหมดล้วนมีสีสัน  นัยะการมาของพระนางจามเทวีมีหัวใจอยู่ที่ เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนอำนาจพระพุทธศาสนาเข้าสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำปิง เอาชนะระบบความเชื่อเรื่องผี 




ผมมองว่า การวิเคราะห์ของ อ.นพพรเช่นนี้ ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นถึงการที่พระนางจามเทวีได้สร้างอารยธรรมทางพุทธศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรกในลำพูน แต่ประเด็นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ เพราะนักโบราณคดี เช่น รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ได้นำเสนอไว้ก่อนหน้านี้หลายสิบปีแล้ว

นักวิชาการลำดับต่อไป คือ ท่านพระครูสิริสุตาภิมณฑ์ ได้เมตตาอธิบายในมุมมองของปราชญ์ฝ่ายพุทธจักรว่า คณะสงฆ์ยุคล้านนาที่ไปเรียนพุทธศาสนาในลังกา ต้องเรียนทั้งภาษาบาลี และสิงหล เมื่อกลับมาจึงนำองค์ความรู้มาสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ในลักษณะ วิทยานิพนธ์

ด้วยเหตุนี้ จึงลงมือเขียนตำนานเกี่ยวกับพระนางจามเทวี โดยหยิบมุขปาฐะเรื่องเล่าตกค้างนานกว่า ๘๐๐ ปีที่เคยได้ยินได้ฟังกันมา แต่เวลาร้อยเรียงจริงๆ นั้น จำเป็นต้องตัด กลิ่นอายของความเป็นชาวบ้านออกไป เปรียบได้กับการแพ็คสินค้าขึ้นห้าง ที่จะต้องปรุงแต่งอย่างสวยงามเสียก่อน ย่อมไม่กล้าใส่ปลาร้าปลาจ่อมปะปนเข้าไป 

ด้วยเหตุนี้ตำนานฉบับหลวงหรือฉบับคลาสสิก ย่อมปกปิดเรื่องปูมหลัง ชาติกำเนิด อารมณ์ ความรัก หรือการทำศึกกับขุนหลวงวิลังคะโดยใช้คุณไสยใส่กัน



ภาพจาก http://www.chiangmainews.co.th

กรณีนิตยสารต่วย'ตูนพิเศษ ที่มีการตีพิมพ์บทความกล่าวว่าพระนางจามเทวีชนะขุนหลวงวิลังคะด้วยมายาไสยศาสตร์ พระครูสิริสุตาภิมณฑ์ชี้แจงว่า อันที่จริงเหตุการณ์ดังกล่าวต้องอธิบายด้วยพลังอำนาจแห่งสตรี เนื่องจากสรีระร่างกายบอบบางกว่าบุรุษ หากจะรบกันตัวต่อตัวความแข็งแรงกำยำย่อมสู้บุรุษไม่ได้ ดังนั้นสตรีจึงสร้างอำนาจพิเศษขึ้นมา ด้วยการพลิกสถานการณ์ใช้องค์กำเนิดแห่งความเป็นหญิง (ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นจุดอ่อน) เอามาเป็นจุดแข็งแทน 

ความเชื่อที่ตกค้างมาอย่างยาวนาน อันเป็นความแค้นระหว่างขุนหลวงวิลังคะที่มีต่อพระนางจามเทวี เนื่องจากการที่ไม่สมหวังในความรัก ยังคงปรากฏอยู่อย่างฝังแน่น เห็นได้จากการที่คนเฒ่าคนแก่มักจะบอกลูกหลานว่า อย่าเอาดอกชบาสีแดงมาใช้ในงานบุญ เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่พระนางจามเทวีนำไปใช้เสียบมาลา (หมวก) ตอนนำไปให้ขุนหลวงวิลังคะสวม ดอกชบาจึงเป็นดอกไม้ที่ถูกฝ่ายขุนหลวงวิลังคะสาปแช่งไว้ ซึ่งเรื่องนี้ชาวลำพูนต้องตระหนักในทำนองที่ว่า แม้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” 
  
ผมขอแทรกตรงนี้ไว้ก่อนนะครับ ว่าเกี่ยวกับกรณีของนิตยสารต่วยตูนพิเศษนั้น นิตยสารดังกล่าวได้ตีพิมพ์บทความของผู้ใช้นามแฝงว่า ลูกช้างซึ่งวิเคราะห์ไสยศาสตร์ในการทำศึกระหว่างพระนางจามเทวี โดยที่ผู้เขียนท่านนั้นไม่มีความรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในด้านการเลือกหยิบหลักฐานประเภทตำนานทั้งใหม่และเก่า ตัดตอนมาอ้างตามอำเภอใจ และการวิพากษ์วิจารณ์พระนางจามเทวีในลักษณะของการพยายามเน้นว่า ทรงเป็นนางมารร้ายมากกว่าวีรสตรี


ภาพจากนิตยสารต่วย'ตูนพิเศษ ฉบับที่ตัพิมพ์บทความอื้อฉาวเกี่ยวแก่พระนางจามเทวี

เรียกได้ว่าเป็นบทความที่เขียนอย่างมักง่าย แสดงถึงโลกทัศน์ที่แคบ และขาดความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง จนไม่อาจนับเป็นข้อเขียนที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีได้ แต่ก็ทำให้ชาวลำพูนที่นับถือพระนางจามเทวีไม่พอใจ ซึ่งทางนิตยสารก็แสดงความรับผิดชอบเพียงแค่ลงข้อความขออภัยอย่างสั้นๆ ประกอบการตีพิมพ์คำอธิบายของ ดร.เพ็ญสุภา ที่ชี้แจงไปในนามของชาวลำพูนเท่านั้น แต่บทความดังกล่าวก็จุดประกายให้เกิดงานเสวนาคราวนี้ขึ้นมาละครับ

ดังนั้นการอภิปรายในส่วนนี้ของท่านพระครูสิริสุตาภิมณฑ์ จึงเป็นการวิเคราะห์ใน ๒ ประเด็นหลัก คือ แนวทางการเรียบเรียงตำนานพระนางจามเทวีในฝ่ายวัด และสงครามไสยศาสตร์กับขุนวิลังคะเท่านั้น

มิได้เป็นการตอบคำถามหลักๆ ที่เกิดจากตำนานพระนางจามเทวี เช่น เหตุใดจึงต้องรีบร้อนเสด็จจากละโว้ไปลำพูนทั้งที่ยังทรงพระครรภ์ โดยพระสวามีมิได้เสด็จไปด้วย?

แต่ก็นับเป็นความรู้ในเชิงคติชนวิทยา รวมทั้งรายละเอียดปลีกย่อยที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น เรื่องของการที่คนเฒ่าคนแก่มักจะบอกลูกหลานว่า อย่าเอาดอกชบาสีแดงมาใช้ในงานบุญ เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่พระนางจามเทวีนำไปใช้เสียบมาลา ตอนนำไปให้ขุนหลวงวิลังคะสวม จึงเป็นดอกไม้ที่ถูกฝ่ายขุนหลวงวิลังคะสาปแช่งไว้


ภาพจาก http://www.bloggang.com

ข้อนี้ถ้าพระคุณเจ้าไม่ยกตัวอย่างขึ้นมา คนต่างถิ่นอย่างผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ ครับ ดังนั้นจึงเป็นตัวอย่างทางความเชื่อที่มีคุณค่ามหาศาล

เพราะที่จริงแล้ว ความเชื่อนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับพระนางจามเทวีโดยตรง แต่คล้ายกับความเชื่อเรื่องดอกชบาแดงของคนไทยภาคกลางที่ไม่นิยมนำมาบูชาพระกัน เพราะเป็นดอกไม้ที่เอาไว้ใช้ทัดหูนักโทษที่จะต้องถูกตัดศีรษะ

ความเชื่อเหล่านี้มีร่องรอยที่เก่าแก่มากครับ เพราะดอกชบาแดงนั้นเป็นดอกไม้ที่ชาวอินเดียโบราณนิยมใช้บูชาเจ้าแม่กาลี เทวีแห่งการบูชายัญและความตาย ซึ่งนิยมนับถือกันมากในเบงกอล และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียมาไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐ ปี




เราไม่มีทางทราบได้อย่างแน่ชัดว่า ชาวลำพูนรับความเชื่อนี้เข้ามาทางใด และเมื่อไรกันแน่ เป็นความลี้ลับพอๆ กับความเชื่อเรื่องดอกชบาแดงของทางภาคกลาง ซึ่งเก่าแก่ไม่น้อยกว่าสมัยอยุธยานั่นละครับ และถ้าจะมีผู้ค้นคว้าเจาะลึกในเรื่องนี้โดยตรง ก็จะเป็นประโยชน์แก่วงการคติชนวิทยาของไทยเรามากที่เดียว

ท่านพระครูสิริสุตาภิมณฑ์ยังกล่าวด้วยว่า แม้ไม่พบหลักฐานด้านศิลาจารึกที่เก่าแก่ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ก็ตามที อย่างไรก็ดี ขอให้คนลำพูนเชื่อถือ ศรัทธา และมั่นใจ หรือมีสำนึกว่า พระนางจามเทวีมีตัวมีตนจริงและการเขียนประวัติศาตร์เรื่องพระนางจามเทวี เราจะมีหมุดหมายปักการเริ่มต้นไว้ที่เมืองลำพูน

ข้อนี้ผมไม่เห็นด้วยครับ

ผมไม่เห็นด้วยว่า เราจำเป็นต้องขอให้คนลำพูนเชื่อถือ ศรัทธา และมั่นใจ หรือมีสำนึกว่า พระนางจามเทวีมีตัวมีตนจริง

เพราะที่จริงก็คือ เรามีหลักฐานที่ยืนยันความมีตัวตนจริงของพระนางอยู่แล้วครับ

นั่นคือ ข้อความใน จดหมายเหตุหมานซู เขียนโดย ฝานฉว้อ นักเดินทางชาวจีนสมัยราชวงศ์ถังเมื่อพ.ศ.๑๔๐๖ นับว่าเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่เก่าแก่กว่าตำนานทุกฉบับที่เรามีกันอยู่ และยังกล่าวถึงพระนางโดยตรงที่สุดด้วย

กล่าวคือฝานฉว้อได้ระบุถึง หนี่หวังกว๋อ หรือ รัฐที่ปกครองโดยกษัตริย์หญิงไว้ในเส้นทางที่นักเดินทางชาวจีนจะต้องใช้ในการไปยังค่ายทหารแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของจีน และหนี่หวังกว๋อแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นจังหวัดลำพูนในทุกวันนี้ เท่ากับเป็นเอกสารที่เชื่อถือได้ยิ่งกว่าตำนานทุกฉบับของไทยเราเสียอีก

ซึ่งผมก็แปลกใจอยู่ว่า ตลอดการเสวนาครั้งนี้ทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย ไม่มีนักวิชาการท่านใดนำเรื่องนี้มากล่าวถึงเลย ทั้งๆ ที่เป็นหลักฐานที่ได้รับการตรวจสอบแล้วถึงความถูกต้องแม่นยำ และยังมีอายุเก่าแก่มากใกล้เคียงกับรัชสมัยพระนางจามเทวีในตำนานที่สุด 

และไม่ใช่เรื่องลี้ลับอันใด เพราะ ต้วนลี่เซิง นักประวัติศาสตร์จีนได้นำมาเผยแพร่ในเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว จนเป็นที่อ้างอิงกันทั่วไปในวงการนักประวัติศาสตร์ไทย เหมือนกับเรื่องที่ชาวจีนเรียกเมืองเชียงใหม่ว่า ปาไป๋ซีฟู นั่นละครับ

นักวิชาการท่านต่อไป คือ อ.วิธูร บัวแดง กล่าวว่า พระนางจามเทวีเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ผู้รจนาตำนานพระนางจามเทวีฉบับคลาสสิกในยุคล้านนาเอง ก็ยังตั้งคำถามถึงปริศนาของพระนางจามเทวีมาก่อนแล้ว ไม่ว่าประเด็นข้อสงสัยต่อ เม็งคบุตร ระมิงค์นคร ซึ่งคำว่า เม็งในยุคนั้น น่าจะแตกต่างจาก รามัญที่เราเข้าใจในยุคนี้ 

การเขียนวรรณกรรมพุทธศาสนาในยุคโบราณ พอพระภิกษุนำมารจนา มักจะตัดเรื่องพิธีกรรมชาวบ้าน การเลี้ยงผี ไสยศาสตร์ อาถรรพณ์ ออกไป เพราะในสายตาของพระภิกษุล้านนายุคเมื่อ ๕๐๐ ปีนั้น มองว่าพระนางจามเทวีเป็น เทวีแห่งพุทธศาสนาดังนั้นเมื่อผู้เขียนต้องนำสินค้าชาวบ้านมาขึ้นหิ้ง มาปรุงเป็นอาหารในภัตตาคาร ย่อมไม่กล้าใส่ปลาร้า ทำให้สำนวนสองเวอร์ชั่นจึงไปไม่ตรงกัน

ประเด็นนี้ ก็สอดคล้องกับที่ท่านพระครูสิริสุตาภิมณฑ์ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วครับ 
 
แต่อ.วิธูร ก็ได้เปิดประเด็นใหม่ที่น่าสนใจคือ การระบุว่าฤๅษีวาสุเทพเป็นลูก ปู่แสะย่าแสะปู่แสะย่าแสะคือใคร สังคมดั้งเดิมพื้นบ้านมักกล่าวถึง ชาวลัวะตีกลองร้องเรียก นางแก้วออกมา มีการสังเวยนางแก้วลงหลุม หักคอเพื่อความอุดมสมบูรณ์ เป็นนัยะของคำสาปแช่ง 

เรื่องราวการสาปแช่งมีอยู่เดิมก่อนการเข้ามาของพุทธศาสนาแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องเล่าตกค้างเกี่ยวกับการที่ลูกตีแม่แล้วแผ่นดินยุบในสมัยฤๅษีวาสุเทพ การฟ้อนผีเม็งของเจ้าเมืองลำปาง ให้ความสำคัญแก่ ผีนางน้อย” (ผีอี่หล้า) มากเป็นพิเศษ ชาวบ้านเรียก ผีจามเทวีคล้ายกับ ผีมโนราห์” (ผีอีนุ้ย) ของชาวปักษ์ใต้ ที่ต้องต่อสู้กับ ปิงคละ” (เทียบได้กับขุนหลวงวิลังคะ) โดยต้องเลี้ยงผีด้วยปลาเหมือนกัน ไม่ว่าภูมิภาคใดในอุษาคเนย์ ล้วนเป็นคอนเซ็ปต์ชุดเดียวกันหมด คือเรื่อง นางแก้ว”   

กรณีชื่อ จามเทวีอ.วิธูรมีมุมมองว่า อาจสืบมาจากปุราณะหรือเรื่องเล่าที่ตกค้างของอินเดีย กล่าวคือมี นางจามมุณฑา” (อ่าน มุนดา) เป็นเทวีที่ผสมทั้งความเป็นพระนางอุมา (ชายาพระศิวะ) พระนางลักษมี (ชายาพระวิษณุ) และพระนางสรัสวดี (ชายาพระพรหม)  

นางจามมุณฑาเป็นผู้มาปราบ มหิงสาสุระหรืออสูรในรูปควาย ทั้งศาสนาเชน และพุทธมหายานนิกายตันตระ นำเรื่องราวของ นางจามมุณฑาไปเป็นสัญลักษณ์ประจำศาสนาเหล่านั้นในฐานะ ผู้ปราบมารเชื่อว่าความคิดนี้ได้ส่งทอดมาถึงดินแดนภาคเหนือ ชาวพื้นเมืองจึงนำมาผสมกับเรื่องราวของ นางแก้ว” 


ภาพลายเส้น พระนางจามุณฑา

อ.วิธูร ยังแนะนำด้วยว่า ดังนั้น หากศึกษาเรื่องราวของพระนางจามเทวีแล้ว ควรศึกษาด้านคติชนวิทยาที่สอดแทรกอยู่ด้วย จะค้นพบปรัชญาที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปแบบตำนาน ไม่ใช่เรื่องที่เหลวไหลแต่อย่างใดเลย

นี่ละครับ ที่ผมมองว่า น่าจะเป็นแนวความคิดใหม่สำหรับการศึกษาตำนานพระนางจามเทวีอย่างแท้จริง โดยเน้นไปทางด้านคติชนวิทยา และการเชื่อมโยงกับเทววิทยาอินเดีย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิชาการท่านนี้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ 

ดังนั้น แม้การอภิปรายของท่านจะยังไม่เจาะลึกเข้าสู่ตำนานพระนางจามเทวีอย่างแท้จริง แต่ก็เป็นการให้แนวทางสำหรับการศึกษาค้นคว้า ที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

เพราะไม่ใช่เพียงก้มหน้าก้มตาศึกษา และเก็บหลักฐานกันเฉพาะในท้องถิ่น ยังต้องประมวลความรู้จากศาสตร์อื่นๆ เข้ามาช่วยตีความ วิเคราะห์ และกำหนดขึ้นเป็นภาพคร่าวๆ ที่ใกล้เคียงสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นจริงที่สุดด้วย

วิธีการเช่นนี้เป็นสิ่งที่วงการโบราณคดีไทยใช้กันอยู่อย่างเป็นมาตรฐานในทุกวันนี้ ดังคำกล่าวที่ว่า โบราณคดีเป็นสหวิทยานั่นละครับ 

ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิชาการท้องถิ่น ไม่ว่าภาคเหนือหรือภาคใดก็ตาม จำเป็นต้องรู้จักนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเข้าถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของตน ดังที่ อ.วิธูรท่านนี้ได้นำมาใช้โดยตลอด 

แต่ผมก็ไม่เห็นว่านอกจากท่านแล้ว จะมีใครอื่นที่ศึกษาตำนานท้องถิ่นลำพูนด้วยวิธีการเช่นนี้นะครับ

อย่างไรก็ตาม การที่ อ.วิธูร ยกเรื่องของพระนางจามุณฑา และเรื่องนางแก้วมาอภิปราย ก็ทำให้มองไปอีกแง่มุมหนึ่งได้เหมือนกันว่า ตำนานพระนางจามเทวีมีพื้นฐานส่วนหนึ่ง ที่มาจากระบบความเชื่อของสังคมพื้นบ้านที่ผสมผสานกับเทววิทยาอินเดีย

มุมมองเช่นนี้เป็นมุมมองที่ปลอดภัย และง่ายต่อการยอมรับทั้งในทางคติชนวิทยา และมานุษยวิทยา แต่อาจจะยุ่งยากพอสมควรครับ เมื่อนำไปเทียบกับจดหมายเหตุหมานซูของจีนที่กล่าวถึงความมีตัวตนของพระนางจามเทวี

ดังนั้นผมคิดว่า ถ้าจะตั้งทฤษฏีพระนางจามเทวีขึ้นอีกสักทฤษฎีหนึ่ง ตามคำแนะนำของ อ.วิธูรแล้ว ก็อาจกำหนดขึ้นเป็นเนื้อหาหลักอย่างคร่าวๆ ได้ว่า พระนางจามเทวีทรงมีตัวตนจริง แต่ตำนานเกี่ยวกับพระนางนั้นส่วนหนึ่งมีพื้นฐานมาจากคติความเชื่อพื้นบ้าน ที่ผสมผสานกับเทววิทยาอินเดีย

ซึ่งในกรณีนี้ ดร.เพ็ญสุภาก็เคยเปิดประเด็นไว้นานแล้วเหมือนกันครับ ว่าเรื่องของพระนางจามเทวีนั้นเปรียบเสมือนเรื่องของพระลักษมี เทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ของอินเดีย ขณะที่ท่านสุเทวฤาษีหรือพระฤาษีวาสุเทพนั้น แสดงความเกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูไวษณพนิกายของอินเดียอย่างชัดเจน ซึ่งศาสนาดังกล่าวนั้นนับถือพระลักษมีในฐานะชายาของพระวิษณุ หรือพระนารายณ์ ซึ่งเป็นเทพสูงสุดของศาสนานั้นด้วย

อ.กำธร ธิฉลาด นักวิชาการท้องถิ่นอีกท่านหนึ่งกล่าวว่า เคยทำโครงการหนังสือ ชื่อบ้านนามเมืองให้ อบจ.ลำพูนเมื่อหลายปีก่อน ชาวบ้านแต่ละพื้นที่มักเล่าถึงเรื่องราวของพระนางจามเทวีในลักษณะที่แตกต่างกันไป 

เช่น บ้านเส้ง กล่าวว่าเศรษฐีบ้านเส้ง เป็นเพื่อนกับเศรษฐีอินตาที่บ้านหนองดู่ (บิดาของพระนางจามเทวี) หรือไปที่บ้านน้ำดิบ บ้านหนองยางฟ้า บ้านผาด่าน  บ้านก้อ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีเรื่องเล่าว่าพระนางจามเทวีผ่านมาแถวนั้น ไม่ว่าจะผิดหรือถูก แต่ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความรักความผูกพันที่ชุมชนมีต่อพระนางจามเทวี 

นักวิชาการท่านนี้ ยังได้กล่าวอีกด้วยว่า สถานที่หลายแห่งที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยไปตามรอยบุญบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามนั้น ส่วนมากเป็นการตามรอยพระนางจามเทวี เช่น พระธาตุแก่งสร้อย กลางลำน้ำปิง ที่จังหวัดตาก และการศึกษาประวัติศาสตร์ในมิติเก็บข้อมูลจากชาวบ้านนั้นมีคุณค่าและความหมายมาก เพราะเป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต มีเลือดเนื้อจิตวิญญาณอยู่ในนั้น

ครับ การอภิปรายของอาจารย์ท่านนี้ ก็ยังคงอยู่ในกรอบของการแนะนำ หรือระดมแนวความคิดเพื่อการตั้งต้นหรือหาจุดร่วมที่เป็นมาตรฐานอย่างแท้จริง เพื่อการศึกษาค้นคว้าตำนานพระนางจามเทวี และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของเมืองลำพูนอย่างจริงจังและเป็นระบบ

ตลอดการเสวนาในภาคเช้า จึงน่าจะมีหลักใหญ่ใจความอยู่ที่การเสนอแนะ ในการวางแนวทางการศึกษาค้นคว้าที่ถูกต้องร่วมกัน ซึ่งจำเป็น และเอื้อให้มีนักวิชาการจากหลายสาขาเข้ามาช่วยกันวิเคราะห์ตำนานพระนางจามเทวีได้ 


นับว่าเป็นสิ่งสำคัญครับ ที่จะต้องทำความเข้าใจร่วมกันในเรื่องนี้ แม้จะยังไม่มีการตอบคำถามหรือให้ภาพที่ชัดเจนขึ้น ในเรื่องราวของพระนางจามเทวีจริงๆ ก็ตาม


………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

Sunday, January 17, 2016

พระนางจามเทวี : การตีความจากตำนาน


พระนางจามเทวี ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งแคว้นหริภุญไชย มีเรื่องราวปรากฏในตำนานต่างๆ เป็นอันมาก ซึ่งล้วนแต่มีรายละเอียดมากมาย ทั้งสอดคล้องกันและแตกต่างกัน

ที่รู้จักกันมากที่สุด คือ ตำนานมูลศาสนา และ จามเทวีวงศ์ ที่แต่งขึ้นโดยพระเถราจารย์ชาวเชียงใหม่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ซึ่งกล่าวว่าพระนางเป็นธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้ ได้เดินทางพร้อมพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฏก และผู้ชำนาญการแต่ละสาขาอย่างละ ๕๐๐ คน จากเมืองละโว้ หรือกรุงลวปุระ สู่นครหริภุญไชย




แต่ในสำนวนพื้นบ้านลำพูนและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นมุขปาฐะนั้นกล่าวว่า พระนางจามเทวีทรงมีชาติกำเนิดเป็นชาวหริภุญไชยมาแต่เดิม โดยเป็นบุตรีของคหบดีผู้หนึ่ง นามว่า อินตา ส่วนมารดาไม่ทราบชื่อ ทั้งสองเป็นชาวเมงคบุตร อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านหนองดู่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน

นอกเหนือจากตำนานทั้งสองฝ่ายดังกล่าวมานี้ ยังมีอีกสำนวนหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมนำมาใช้อ้างอิงกันอย่างแพร่หลายที่สุด เพราะมีรายละเอียดมากที่สุด คือสำนวนที่ นายสุทธวารี สุวรรณภาชน์ อ้างว่าเรียบเรียงจากบันทึกโบราณที่ได้จากพ่อฤาษีแก้ว ในถ้ำบนดอยขุนตาล ถือว่าเป็นตำนานที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะเพิ่งได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อพ.ศ.๒๕๐๙ และมาเสร็จสมบูรณ์เมื่อพ.ศ.๒๕๒๕ นี้เอง

ตำนานฉบับนี้กล่าวว่าพระนางจามเทวีเป็นบุตรีของเศรษฐีอินตาเช่นกันครับ และได้มีการบันทึกตามพระชาตาพระนางจามเทวีเมื่อแรกประสูติไว้ว่าตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๑๑๗๖ เวลาจวนจะค่ำ

ทั้งตำนานพื้นบ้านส่วนใหญ่ และตำนานฉบับนายสุทธวารีเล่าตรงกันว่า วันหนึ่งขณะพระนางจามเทวียังเป็นทารกวัยเพียง ๓ เดือน บิดามารดาไม่อยู่บ้าน นกยักษ์ได้โฉบเอาพระนางบินไปถึงดอยสุเทพ ท่านสุเทวฤาษี ซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ที่นั่นจึงแผ่เมตตาจิต ขอให้พญานกปล่อยกุมารีในกรงเล็บ นกยักษ์นั้นก็ปล่อยพระนางร่วงลงกลางดอกบัวหลวงขนาดมหึมา


 

ท่านฤาษีปรารถนาจะเลี้ยงดูพระนางต่อไป จึงใช้พัดช้อนเอาร่างของทารกน้อยจากดอกบัว นำกลับไปที่อาศรม และอธิษฐานให้มีน้ำนมไหลออกจากปลายนิ้วให้กุมารีน้อยนั้นได้ดื่มกินจนกระทั่งเติบใหญ่

แต่ก็ยังมีตำนานชาวบ้านอีกกระแสหนึ่งเล่าว่า เหตุที่พระนางจามเทวีจะต้องจากบิดามารดาไปอยู่กับท่านสุเทวฤาษีนั้น เป็นเพราะพระนางทรงมีพระสิริโฉมงดงาม ซึ่งบิดาก็ปรารถนาจะยกให้ลูกชายคหบดีบ้านหนองเหวี่ยง แต่เปลี่ยนใจภายหลัง 

คหบดีบ้านหนองเหวี่ยงโกรธมาก จึงยกพวกมาวิวาท แล้วต่างฝ่ายต่างก็ไปชักชวนคนจากที่อื่นๆ มาร่วมด้วยจนเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ร้อนถึงพระอินทร์ต้องมีเทวโองการให้พระเวสสุกรรมมาลักพระนางไปให้ท่านสุเทวฤาษีเลี้ยงดูแทน

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อของชาวลำพูนส่วนใหญ่โน้มไปในทางที่ว่า พระนางจามเทวีได้ไปอาศัยอยู่กับท่านสุเทวฤาษีตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มากกว่าครับ

ในการเรียบเรียงเรื่องนี้เป็นหนังสือต่างหาก ภายใต้ชื่อว่า จอมนางหริภุญไชย ซึ่งในขณะนี้ (๒๕๕๙) ได้ตีพิมพ์ไปแล้ว ๕ ครั้ง ผมได้นำเสนอบทสันนิษฐานซึ่งเกิดจากการนำข้อสังเกตในแต่ละตำนานมาปะติดปะต่อกัน ร่วมกับข้อมูลและหลักฐานทางโบราณคดีทั้งหมด ที่ร่วมสมัยกับยุคของพระแม่เจ้าองค์นี้ เมื่อ ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว เท่าที่พอจะทำได้

ซึ่งทำให้ผมได้พบว่า แม้แต่ตำนานที่นักวิชาการทั่วไปไม่ให้ความเชื่อถือเลย คือตำนานฉบับนายสุทธวารี ก็ยังมีข้อมูลบางอย่างที่เป็นประโยชน์ พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่น่าจะใกล้เคียงความจริงออกมาได้เป็นความยาวถึง ๒๐๐ หน้าในการตีพิมพ์ครั้งล่าสุด

และไม่เกินความจริงที่จะกล่าวว่า นอกจากการตีความ และการตั้งข้อสมมุติฐานเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวอันแท้จริงของพระนางจามเทวีที่ผมกระทำลงไปในหนังสือดังกล่าวแล้ว แทบไม่มีนักวิชาการท่านใดที่ได้ศึกษาวิจัยไว้รอบด้านเช่นนั้นอีกเลยครับ




แม้แต่นักวิชาการท้องถิ่นที่ลำพูนบางท่าน ซึ่งตกอกตกใจกับวิธีการตีความของผม จนกล่าวบริภาษไปต่างๆ นานา จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีผลงานอันใดเกี่ยวแก่พระนางจามเทวีออกมาเป็นรูปธรรม ให้สาธารณชนพิสูจน์ว่าทำได้ดีและถูกต้องกว่าผม

เพราะฉะนั้น เมื่อช่วงปลายปีพ.ศ.๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ที่ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูนจัดการเสวนาพระราชประวัติพระนางจามเทวีขึ้น โดยมีนักวิชาการ นักปราชญ์ ทั้งในท้องถิ่นและส่วนกลางหลายท่านช่วยกันนำเสนอข้อสันนิษฐานใหม่ล่าสุด

ผมก็จะขอนำข้อสมมุติฐาน ที่ผมเรียบเรียงไว้ในหนังสือ จอมนางหริภุญไชย มาโพสต์ใน blog นี้ ก่อนที่จะวิเคราะห์วิจารณ์ทฤษฏีใหม่ๆ จากผู้ทรงคุณวุฒิในงานเสวนานั้น ในบทความที่ผมจะโพสต์ต่อจากบทนี้ละครับ

เพื่อให้หลายๆ ท่านที่ไม่ได้อ่านข้อเขียนของผมใน จอมนางหริภุญไชย ได้รับรู้ว่า ผมมีความคิดเห็น และวางแนวทางการตีความและสันนิษฐานเกี่ยวแก่พระนางจามเทวีไว้อย่างไรบ้าง เพื่อจะได้เปรียบเทียบกับข้อสันนิษฐานใหม่ล่าสุด ของท่านผ้ทรงคุณวุฒิในงานเสวนาดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

แต่ผมก็จำเป็นต้องนำมาเล่าใหม่ โดยย่อตามสมควรแก่การอ่านผ่านจอคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอมือถือ ผู้ที่ได้อ่านแล้วมีความสนใจใคร่รู้ว่ามีต้นสายปลายเหตุอันใด ผมจึงตีความไปอย่างนั้น ผมก็ขอให้ไปหาอ่านใน จอมนางหริภุญไชย ซึ่งมีการแจกแจงโดยพิสดารไว้ครบทุกบททุกตอนนะครับ

ตามความเห็นของผม ตำนานที่กล่าวว่าพระนางจามเทวีประสูติในภาคเหนือนั้น ไม่มีหลักฐานอะไรรองรับเลยครับ 

ทั้งยังมีข้อบ่งชี้ว่า แต่งขึ้นมาจากการเลียนแบบตำนานทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการประสูติในดอกบัว (เลียนแบบกำเนิดพระนางปทุมวดี ซึ่งเป็นอดีตชาติของพระอรหันตสาวิกาอุบลวรรณาเถรี) และยังมีความซ้ำซ้อนกับตำนานพื้นเมืองอื่นๆ เป็นอันมาก 

เช่นเรื่องการล่องแพไปสู่บ้านเมืองที่เจริญกว่า และได้รับการชุบเลี้ยงอย่างดี เป็นต้น

และแม้พระนางจะประสูติในละโว้ตามคัมภีร์จามเทวีวงศ์ หรือ ตำนานมูลศาสนาระบุไว้ แต่พระนางก็อาจมีความเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่ง กับนครรัฐทางภาคใต้ในขณะนั้น คือ รัฐรักตมฤติกา ซึ่งเป็นเครือข่ายการค้าทางทะเลในคาบสมุทรมลายู เช่นเดียวกับรัฐศรีวิชัย ซึ่งกำลังเริ่มมีอำนาจขึ้นในเวลานั้น 

เช่นว่า พระนางอาจทรงมีพระมารดาเป็นเจ้าหญิงจากรัฐรักตมฤตติกา ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ในปัจจุบันนี้ก็เป็นได้


ซากโบราณสถานยุคพระนางจามเทวีในเมืองยะรัง จ.ปัตตานี
ภาพจาก http://www.oknation.net

ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้ เกิดจาก 

๑) การที่ตำนานฉบับนายสุทธวารี ระบุว่าพระนางทรงมีพระพี่เลี้ยงเป็นชาวปักษ์ใต้ มาจากเมืองโบราณใน จ.ปัตตานี ทั้งๆ ที่นายสุทธวารีไม่ควรจะมีความรู้เรื่องโบราณคดีร่วมยุคศรีวิชัยในจังหวัดดังกล่าว ซึ่งยังไม่แพร่หลายในสมัยของเขา

และ 

๒) การที่คำว่า จาม ในพระนาม จามเทวี นั้น เป็นคำที่ผู้คนในยุคสมัยที่มีการแต่งตำนานต่างๆ เกี่ยวกับพระนางจามเทวีนิยมใช้เรียกคนปักษ์ใต้ โดยเฉพาะคนแถบคาบสมุทรมลายู ซึ่งก็คือคำว่า แขกจาม นั่นเองครับ

ตามความคิดของผม พระเจ้ากรุงละโว้ อาจไม่มีพระราชโอรส และอาจจะทรงเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับนครรัฐศรีวิชัย จึงขอพระราชโอรสของกษัตริย์ศรีวิชัย คือ เจ้าชายรามราช มาเป็นรัชทายาทเตรียมขึ้นครองกรุงละโว้ต่อไป โดยโปรดฯ ให้ไปครองนครรามบุรี ซึ่งนักวิชาการเป็นอันมากเชื่อกันว่า คือนครอโยธยา หรือกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา

และนั่นหมายความว่า ถ้าเจ้าชายพระองค์นี้ได้เสกสมรสกับพระนางจามเทวี ก็จะทำให้อำนาจของกลุ่มนครรัฐทางปักษ์ใต้ คือ ศรีวิชัย กับ รักตมฤตติกา เข้ามาครอบงำละโว้อย่างเต็มรูปแบบไงครับ

นั่นหมายถึง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของละโว้ ในฐานะรัฐเมืองท่าชายฝั่งที่ควบคุมการค้าเป็นเครือข่ายสืบเนื่องถึงรัฐตอนใน อย่าง อู่ทอง นครปฐม ขึ้นไปจนถึงศรีเทพ ฯลฯ ที่เคยสร้างความมั่งคั่งมหาศาล จะเลื่อนไหลไปอยู่ในกำมือของกลุ่มนครรัฐทางภาคใต้ และคาบสมุทรมลายูอย่างสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนี้ บรรดากลุ่มอำนาจต่างๆ ในละโว้ จึงต้องหาทางทำลายอำนาจของทั้งพระนางจามเทวี และเจ้าชายรามราช ด้วยการชักนำเจ้าชายโกสัมพีให้นำทัพไทยใหญ่เข้ามา ซึ่งผลของสงคราม แม้พระนางจามเทวีจะได้รับชัยชนะ แต่ก็สูญเสียขุนศึก และกองกำลังของพระนางเองไปมากครับ

และเมื่อเป็นเช่นนั้น ฝ่ายตรงข้ามของพระนางก็อาจควบคุมพระนางและเจ้าชายรามราชไว้ จนทำให้ท่านสุเทวฤาษี ต้องแก้ปัญหาด้วยการส่งสาส์นมาอัญเชิญพระนางเสด็จขึ้นไปปกครองเมืองใหม่ ที่อยู่ห่างไกลออกไปทางภาคเหนือ 

อันจะทำให้พระนางทรงหลุดพ้น จากวงจรการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองในละโว้ไปอย่างถาวร




เพราะหลังจากนั้นมีตำนานบางฉบับกล่าวว่า เจ้าชายรามราชทรงมีพระชายาองค์ใหม่ครับ ซึ่งก็อาจเป็นเจ้าหญิงที่ผู้กุมอำนาจในละโว้ขณะนั้นสนับสนุนนั่นเอง

การที่ผมสันนิษฐานเช่นนี้ ยังสามารถตอบคำถามอมตะ ที่ควบคู่กับตำนานพระนางจามเทวีได้ด้วยนะครับ

ว่าเหตุใด พระนางจึงต้องรีบร้อนเสด็จไปตามคำเชิญของท่านสุเทวฤาษีทั้งที่กำลังทรงพระครรภ์ 

และเหตุใดพระภัสดาของพระนางจึงมิได้เสด็จไปด้วย

ในขณะเดียวกัน เมืองใหม่ในดินแดนภาคเหนือ คือ หริภุญไชยนั้น ก็ไม่ใช่บ้านเมืองที่มีความพร้อมสมบูรณ์ที่ถูกเนรมิตขึ้นมา ดังตำนานกล่าวอ้างหรอกครับ

ตรงกันข้าม น่าจะเป็นดินแดนล้าหลังเต็มไปด้วยชนเผ่าที่ไร้ความเจริญ เช่น พวกเม็ง และพวกลัวะถือครองอยู่ พระนางจามเทวีจึงต้องทรงนำช่างฝีมือและผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ เป็นจำนวนมากไปสร้างเมืองใหม่ที่นั่น

ไม่อย่างนั้น ถ้ามีบ้านมีเมืองมีความเจริญพร้อมสรรพ เพราะฤาษีเนรมิตไว้อยู่แล้ว (ตามที่ตำนานอ้าง) พระนางยังจะต้องทรงนำผู้เชี่ยวชาญอย่างละ ๕๐๐ ขึ้นไปด้วย (ชนิดที่กล่าวตรงกันทุกตำนาน) เพื่ออะไร? จริงไหมครับ?


ภาพจาก http://www.naiboran.com

ซึ่งกว่าจะเสด็จไปถึง ก็ยังต้องฝ่าฟันไปตามเส้นทางที่ยากลำบาก ดังที่ตำนานพื้นบ้านบางสำนวนได้กล่าวถึงอุบัติเหตุในการเสด็จครั้งนั้น และการสูญเสียผู้คนในกระบวนเสด็จครั้งแล้วครั้งเล่า 

ทำให้เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่เหตุอันควรที่เจ้าหญิงซึ่งกำลังทรงพระครรภ์ จะยอมจำจากพระสวามีเพื่อไปครองเมืองใหม่ โดยต้องเสี่ยงกับอันตรายระหว่างทางมากถึงเพียงนั้นเลยครับ

น่าเสียดายที่ว่า เส้นทางที่เสด็จโดยกระบวนเรือ ส่วนหนึ่งได้สูญหายไปในภายหลังอย่างถาวร อันเป็นผลจากการสร้างเขื่อนภูมิพลในยุคของเรา ไม่อย่างนั้นก็อาจหาหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวแก่พระนางจามเทวีได้เพิ่มขึ้นมาอีกเยอะ

อย่างไรก็ตาม พระนางจามเทวีทรงประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการสร้างเมืองใหม่ครับ ซึ่งเท่ากับเป็นการประดิษฐานพระพุทธศาสนาครั้งแรก ณ ดินแดนทางภาคเหนือของไทยด้วย

ในบรรดาวัดต่างๆ ที่ตำนานกล่าวว่าได้ทรงสร้างนับพันวัด ก็ปรากฏซากโบราณวัตถุสถานทั่วไปในเขตจังหวัดลำพูนในปัจจุบันที่หลายๆ แห่งมีอายุย้อนไปถึงสมัยหริภุญไชย 

แม้กระทั่งพุทธปราการทั้ง ๔ มุมเมือง ก็ยังคงความเป็นศาสนสถานมาจนทุกวันนี้

และการสร้างเมืองใหม่ของพระนางจามเทวี ก็คงจะกระทบกระเทือนกับพวกลัวะกลุ่มใหญ่ ที่ครองพื้นที่แถบนั้นอยู่ก่อนอย่างแน่นอนครับ




ทำให้เกิดตำนานสงครามขุนวิลังคะ ซึ่งสะท้อนภาพความพ่ายแพ้ของชาวพื้นเมืองต่อผู้ที่มาอยู่ใหม่ และอาจเป็นผลให้ชาวลัวะเข้าร่วมกับพญามังรายโจมตีนครหริภุญไชย ทำลายล้างนครอันรุ่งโรจน์แห่งนี้ได้สำเร็จในอีก ๖๐๐ ปีต่อมา 

แต่ชาวลัวะก็ไม่เคยกลับมาครองความยิ่งใหญ่ ในแผ่นดินลุ่มแม่น้ำปิงอีกเลย

และหลังจากพระนางจามเทวีทรงครองราชย์ไปได้ระยะหนึ่ง เมื่อพระราชโอรสของพระนาง คือ พระเจ้ามหันตยศเจริญพระชันษาครองเมืองได้ ก็อาจมีเหตุที่พระราชโอรสสองพระองค์จะชิงความเป็นใหญ่กันเอง 

จนพระนางต้องทรงสร้างเมืองเขลางค์นครขึ้นเป็นเมืองแฝด ให้พระราชโอรสองค์รองไปปกครอง ตามตำนานที่เกี่ยวกับพระเจ้าอนันตยศที่ไปเว้าวอนขอเมืองใหม่จากพระราชมารดา พอได้สมพระประสงค์แล้วก็มีการเดินทางไปขอกับพระฤาษีองค์โน้นองค์นี้นั่นละครับ

ซึ่งในระยะแรก ก็คงเป็นพระนางอีก ที่ทรงวางรากฐานความเจริญทุกอย่างให้กับเขลางค์นคร เฉกเช่นที่พระนางทรงกระทำไว้กับหริภุญไชย

แต่เมื่อเขลางค์นครเติบโตได้เป็นอย่างดีแล้ว พระเจ้าอนันตยศก็พยายามปฏิเสธอำนาจของหริภุญไชยด้วยการพยายามให้พระราชมารดาประทับอยู่แต่ในเขลางค์นครของพระองค์

ซึ่งผมแปลกใจมากว่า เหตุใดผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์-โบราณคดีในอดีต ต่างพากันมองข้ามประเด็นนี้ไปกันหมด ทั้งๆ ที่ตำนานบ่งบอกไว้อย่างชัดเจน  เกินกว่าจะให้ตีความไปทางอื่นได้

และพระนางจามเทวีก็ทรงแก้ไขปัญหานี้ ด้วยพระปรีชาสามารถ คือเสด็จไปประทับอยู่ที่อาลัมพางค์นคร ซึ่งเป็นเมืองใหม่ต่างหาก ทำให้เห็นได้ว่าพระนางไม่ทรงเข้าด้วยกับพระราชโอรสองค์ใดทั้งสิ้น ต่อเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว พระนางจึงเสด็จกลับหริภุญไชย และเสด็จสวรรคตที่นั่น

จากแนวทางสันนิษฐานดังที่ได้กล่าวมาโดยย่อนี้ เราจะเห็นกันว่าพระนางจามเทวีไม่เพียงเป็นกษัตริยาพระองค์แรก บนผืนแผ่นดินที่ปัจจุบันประกอบเป็นประเทศไทยของเราเท่านั้น 

พระนางยังทรงเป็นผู้นำแสงแรกแห่งอารยธรรมสู่ดินแดนล้านนา ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกที่นั่น ด้วยพระปรีชาสามารถในด้านการเมืองการปกครองที่ชาญฉลาด อันเป็นผลให้บ้านเมืองที่พระนางสร้างขึ้นนั้น มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาเป็นเวลานานถึง ๖๐๐ ปี

ในขณะเดียวกันกับที่โดยส่วนพระองค์เอง พระนางกลับต้องทรงเผชิญโชคชะตาอันโหดร้ายโดยตลอดครับ

ไม่ว่าการที่ทรงสูญสิ้นอำนาจในบ้านเกิดเมืองนอน ต้องทรงพลัดพรากจากพระสวามี และทรงฟันฝ่าความยากลำบากต่างๆ ตลอดการเดินทางที่ยาวนานรอนแรมในป่าเขาถึง ๗ เดือน ทั้งที่ยังทรงพระครรภ์ แสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยอันมั่นคงเข้มแข็งของพระนาง จนไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้ถึงเพียงนั้น


ภาพจาก http://www.magazinechiangmai.com

เชื่อกันว่า เมื่อเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติที่ลำพูน พระนางทรงมีพระชนมายุได้ ๒๔-๒๖ พรรษาเท่านั้น

...ถ้าเทียบกับสมัยนี้ แม้จะยังคงอยู่ในวัยที่ถูกถือว่าเป็นกำลังสำคัญในการสร้างอนาคตของชาติ แต่เมื่อมองจากสายตาของผู้ใหญ่แล้วก็ต้องถือว่า ยังเด็ก” ครับ

ปัจจุบัน แม้จะมีหลักฐานในทางวิชาการจำนวนหนึ่ง ที่รองรับถึงการมีตัวตนจริงของพระนาง และเรื่องราวหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระนาง แต่รายละเอียดปลีกย่อยนั้นก็ยังมืดมนกันอยู่ แม้แต่แนวทางการสันนิษฐานของผมดังได้บรรยายไปแล้ว ก็เป็นเพียงข้อสมมุติฐานหนึ่งเท่านั้นนะครับ

เมื่อมีการจัดเสวนาที่ลำพูนครั้งล่าสุด ตามที่ผมกล่าวถึงข้างต้น จึงน่าจะเป็นนิมิตหมายอันดี ที่จะนำไปสู่การสังคายนาพระราชประวัติพระนางจามเทวี และประวัติศาสตร์ยุคเริ่มต้นของดินแดนล้านนาอย่างจริงจังเสียที

นั่นหมายถึง---ผมกำลังหวังอย่างยิ่งว่าจะมีข้อสันนิษฐานใหม่ ที่ดีกว่าที่ผมทำไว้แล้ว เกิดขึ้นในการเสวนาดังกล่าว

เพราะลำพังตัวผมเอง ก็นับว่าได้ทำไปในทุกสิ่งที่ทำได้อย่างเต็มกำลัง เต็มสติปัญญาที่มีอยู่ทั้งหมดแล้ว และถึงตอนนี้ ก็ล่วงเลยเวลาและโอกาสที่จะกลับไปทำในสิ่งที่ดีกว่านั้นได้แล้ว


แต่สิ่งที่เกิดขึ้น จะเป็นไปดังที่ผมหวังไว้หรือไม่ อาทิตย์หน้า ผมอาจจะได้มาเฉลยให้อ่านกันครับ



………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

Total Pageviews