Friday, July 20, 2018

รายาฮิเยา จอมนางแห่งคาบสมุทรมลายู




แม้แต่ผู้สนใจประวัติศาสตร์ ก็มีไม่มากนักหรอกครับ ที่ทราบว่า เคยมีมหาอำนาจทางการทหาร และการค้าทางทะเลอยู่ในคาบสมุทรมลายู ร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยา

มหาอำนาจนั้นคือ ปัตตานี

และนครรัฐดังกล่าว ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม มีกษัตริยาครองราชย์ต่อเนื่องกัน ในราชวงศ์เดียวกันถึง ๔ พระองค์

นางพญาพระองค์แรก ผู้วางรากฐานความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ ด้านให้บังเกิดแก่นครรัฐปัตตานี ก็คือ รายาฮิเยา (Raya Hijau)

เหตุที่จะทำให้ราชบัลลังก์ปัตตานี ถูกปกครองโดยกษัตริย์หญิงนั้น เริ่มตั้งแต่รัชสมัยของ สุลต่านมุฏ็อฟฟัร ชาห์ ครับ

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า พระองค์ได้เสด็จไปกรุงศรีอยุธยาด้วยพระองค์เอง เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี ในรัชสมัยของ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

แต่กษัตริย์อยุธยา มิได้ถวายการต้อนรับให้สมพระเกียรติ เพราะทรงมีพระราชดำริว่า พระราชฐานะขององค์สุลต่านปัตตานีนั้นต่ำกว่า

เมื่อ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ นำกองทัพพม่าเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยา องค์สุลต่านจึงนำทัพเรือ ๒๐๐ ลำเข้ายึดพระราชวังหลวง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิต้องเสด็จหนีไปที่เกาะมหาพราหมณ์

แต่ในที่สุด พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้เลิกทัพกลับไป ฝ่ายอยุธยาสามารถยึดพระราชวังคืนได้ และองค์สุลต่านก็หายสาบสูญ

เมื่อทางปัตตานีเชื่อว่าสุลต่านมุฏ็อฟฟัร ชาห์ สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระอนุชาของพระองค์ คือ สุลต่านมันโซร์ ชาห์ (พ.ศ.๒๑๐๗-๒๑๑๕) จึงเสด็จขึ้นครองราชย์แทน

พระองค์ทรงมีพระราชธิดา ๔ พระองค์ คือ เจ้าหญิงฮิเยา (Hijau) เจ้าหญิงบีรู (Biru) เจ้าหญิงอูงู (Ungu)  เจ้าหญิงอามัส กรันจัง (Amas Kranjang)

และพระราชโอรสอีก ๒ พระองค์ คือ เจ้าชายบาฮาดูร์ (Bahadur) และ เจ้าชายบีมา (Bima)

แต่เจ้าหญิงอามัส กรันจัง สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงคงเหลือพระราชธิดาและพระราชโอรสที่เจริญพระชันษาเพียง ๕ พระองค์เท่านั้นละครับ

รัชกาลของสุลต่านมันโซร์ ชาห์ ไม่ยืนยาวเท่าใดนัก พระองค์ครองราชย์เพียง ๘ ปีก็สิ้นพระชนม์ แต่ก่อนหน้านั้น พระองค์ก็ทรงมีพระราชโองการให้ เจ้าชายปาติกสยาม พระราชโอรสของอดีตสุลต่านมุฏ็อฟฟัร ชาห์ ซึ่งมีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา สืบทอดราชบัลลังก์


ภาพยนตร์เรื่อง ปืนใหญ่จอมสลัด
ที่นำพระราชประวัติของรายาฮิเยามาดัดแปลง

โดยมี พระนางอาอิชะฮ์ พระขนิษฐภคินีขององค์สุลต่านมันโซร์ ชาห์ เป็นผู้สำเร็จราชการ

ภายหลังสุลต่านพระองค์ใหม่ ขึ้นครองราชย์ได้เพียงไม่ถึง ๑ ปี เจ้าชายบัมบัง พระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งของสุลต่านมุฏ็อฟฟัร ชาห์ ก็ปลงพระชนม์ทั้งพระนางอาอิชะฮ์ และสุลต่านปาติกสยามใน พ.ศ.๒๑๑๖

แต่องค์เจ้าชายเอง ก็ถูกขุนนางคนสนิททรยศ ปลงพระชนม์ให้ตายตกไปตามกัน

หลังจากนั้น เจ้าชายบาฮาดูร์ ในฐานะพระราชโอรสองค์ใหญ่ของอดีตสุลต่านมันโซร์ ชาห์ จึงขึ้นครองราชย์เป็น สุลต่านบาห์โดร ชห์ ครองนครปัตตานีในช่วง พ.ศ. ๒๑๑๖-๒๑๒๗ เป็นเวลา ๑๑ ปี

การบริหารราชการแผ่นดินในปลายรัชกาลของพระองค์ สร้างความไม่พอใจแก่พวกขุนนางส่วนหนึ่ง พวกขุนนางเหล่านั้นจึงพากันยุยงให้เจ้าชายบีมา พระอนุชาต่างพระมารดา ปลงพระชนม์องค์สุลต่านด้วยกริช

แต่ขณะที่เจ้าชายบีมาขึ้นช้างหนีออกจากพระราชวัง ก็ถูกขุนนางคนสนิทหักหลัง และปลงพระชนม์ เช่นเดียวกับกรณีการปลงพระชนม์สุลต่านปาติกสยาม ของเจ้าชายบัมบัง

เป็นอันว่า พระราชโอรสของอดีตสุลต่านมันโซร์ ชาห์ และอดีตสุลต่านมุฏ็อฟฟัร ชาห์ ได้พากันสิ้นพระชนม์ไปหมดครับ

ราชบัลลังก์ปัตตานี จึงไร้รัชทายาทที่จะสืบทอด นอกจากพระราชธิดาของอดีตสุลต่านมันโซร์ ชาห์ ที่ยังคงเหลือเพียง ๓ พระองค์ เท่านั้น

เมื่อการณ์เป็นไปดังนี้ ปัญหาทางการเมือง และการสงครามภายในราชสำนักปัตตานีจึงมาถึงทางตัน

และทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ที่จะยุติสงครามระหว่างกันไว้ก่อน

เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่ง ก็คือการแย่งชิงอำนาจ ทำให้เรือสินค้าจากประเทศต่างๆ ไม่กล้าเข้ามาจอด ส่งผลโดยตรงกับเศรษฐกิจของนครปัตตานี จนเกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

จึงต้องมีการสรรหาคนกลาง ที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ เพื่อเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

เพราะฉะนั้น เหล่าเสนาบดีจึงจำต้องประชุมกัน เลือกเฟ้นผู้ที่จะมาครองกรุงปัตตานี จากพระธิดาทั้ง ๓ พระองค์ของสุลต่านมันโซร์ ชาห์

ในที่สุดก็พากันลงมติ เลือกเจ้าหญิงฮิเยา เป็นผู้ครองนครปัตตานีพระองค์ต่อไป


รายาฮิเยา ประทับบนราชบัลลังก์ จากภาพยนตร์เรื่อง ปืนใหญ่จอมสลัด

เจ้าหญิงฮิเยาจึงได้รับการสถาปนาเป็น รายาฮิเยา กษัตริยาพระองค์แรกแห่งนครรัฐปัตตานี ใน พ.ศ.๒๑๒๗ พระชนมายุขณะนั้นได้ ๓๒ พรรษา และทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์ศรีวังสา

นับว่าทรงเป็นกษัตริย์หญิงพระองค์แรก ที่ได้ปกครองรัฐในแหลมมลายูครับ

แต่เพียงไม่กี่เดือนที่ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ พระนางก็ต้องทรงเผชิญกับการท้าทายของมหาอำมาตย์ และเหล่าเสนาบดี เพื่อทดสอบบารมีของเจ้าผู้ครองนครหญิง

กล่าวคือ เจ้าเมืองกายุคลัต (Bandahara Kayu Kelat) หรือเมืองสายบุรี  ได้นำกองทหาร ๕,๐๐๐ คนเข้ายึด พระราชวังอิสตานานีลัม เพื่อจะก่อการกบฎ และตัวเจ้าเมืองพร้อมด้วยทหารคู่ใจ ๔๐ คน ก็บุกเข้าถึงท้องพระโรงอย่างอุกอาจ

กล่าวกันว่า เจ้าเมืองกายุคลัตกับพวกนั้น ทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน ดังนั้น แม้รายาฮิเยาจะทรงมีทหารรักษาพระองค์นับหมื่น ก็อาจไม่มีทางขัดขวาง

เมื่อกองทัพกบฎเข้ามาถึงท้องพระโรง บรรดาเสนาบดีขององค์รายาฮิเยา จึงไม่มีผู้ใดปรากฏกายถวายอารักขาแด่พระนาง

แต่องค์รายาก็เสด็จออกรับฝ่ายกบฎ ด้วยลักษณาการที่ทำให้ผู้รุกรานตกตะลึง และพิศวงอย่างยิ่งครับ

เพราะภาพที่เจ้าเมืองกายุคลัต และทหารทุกนายได้เห็น คือพระนางฮิเยาผู้สง่างามในฉลองพระองค์สีเขียว มีสร้อยพระศอเป็นด้ายทองคำร้อยด้วยบุปผชาติ ทรงประทับยืนเป็นสง่าอยู่เหนือราชบัลลังก์ เบื้องล่างมีเพียงราชองครักษ์ ๒ นาย พร้อมดาบประจำกายถวายอารักขาอยู่

นอกนั้น มีเพียงบรรดาข้าราชบริพาร และนางกำนัล หมอบกายอยู่ ณ พื้นท้องพระโรง

และพลันที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน องค์รายาฮิเยาก็ทรงถอดมาลัยจากพระศอ โยนพระราชทานให้

ทีท่าของพระนาง ไม่เพียงไร้ความหวาดหวั่นโดยสิ้นเชิง ยังเต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็นอย่างยิ่ง ไม่แม้แต่จะทรงเปิดพระโอษฐ์เจรจาสิ่งใด

และท่ามกลางความงุนงงของผู้ติดตาม เจ้าเมืองสายบุรีกลับหมอบลงถวายคำนับเบื้องพระบาทนางกษัตริย์ วางกริชประจำกายบนพื้นท้องพระโรง

แล้วหยิบเอาพวงมาลัยนั้น มาพันไว้รอบศีรษะ พร้อมเปล่งวาจาถวายพระพร ให้บุญญาบารมีขององค์กษัตริยานำความมั่งคั่งเพิ่มพูนสู่บัลลังก์ปัตตานีตลอดไป

จากนั้น รายาฮิเยาเสด็จกลับเข้าที่ประทับ โดยมิได้รับสั่งสิ่งใดทั้งสิ้น

เจ้าเมืองกายุคลัตกล่าวกับบรรดาผู้ติดตามว่า มาลัยที่องค์กษัตริยาพระราชทานนั้น คือเครื่องหมายที่พระนางขอชีวิต

แต่นัยยะที่แท้จริงนั้น รู้อยู่แก่ใจของเขาเป็นอย่างดีละครับ 

เพราะวันรุ่งขึ้น เจ้าเมืองสายบุรีนำไพร่พลเดินทางกลับ และไม่เคยมาเหยียบแผ่นดินปัตตานี ให้ระคายพระเนตรพระกรรณอีกเลย

เหตุการณ์ครั้งนั้น สร้างความเคารพยำเกรงให้กับเหล่าเสนาบดี และขุนนางทั้งราชสำนัก จนไม่มีใครกล้าท้าทายพระราชอำนาจของเจ้าผู้ครองนครหญิงอีกต่อไป

แต่แม้กระนั้น กลิ่นคาวเลือดก็กลับคละคลุ้งขึ้น ในพระราชวังอีกครั้งหนึ่ง

ภายใต้ความสงบเยือกเย็น องค์รายาฮิเยาทรงเริ่มสืบสวนกรณีการสิ้นพระชนม์ ของอดีตสุลต่านบาห์โดร ชาห์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน และทรงมีพระราชโองการ ให้ประหารทุกคนที่เกี่ยวข้องจนหมด ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น

จนไม่มีผู้ใดกล้าทำสิ่งใด ให้ระคายพระเนตรพระกรรณนับตั้งแต่เวลานั้น

จากนั้น องค์รายาฮิเยาก็ทรงแสดงให้ปรากฏว่า ไม่เพียงความเด็ดขาดในการปกครอง กว่าทศวรรษทีทรงสั่งสมความรู้ทางการเมืองระหว่างรัฐเหนือคาบสมุทรมลายู ทำให้พระนางทรงดำเนินพระราโชบายต่างๆ ด้วยพระปรีชาชาญอย่างยิ่ง

ลำดับแรก คือการพระราชทานเจ้าหญิงอูงู พระน้องนางเธอพระองค์เล็ก ให้เสกสมรสเป็นมเหสีของ สุลต่านอับดุลฆอฟูร เจ้านครรัฐปาหัง ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ที่จะใช้ความเกี่ยวดองทางเครือญาติกับเจ้านครปาหัง คานอำนาจของรัฐยะโฮร์ ซึ่งทรงอิทธิพลเป็นคู่แข่งบนคาบสมุทรมลายู ณ เวลานั้น

ในขณะเดียวกัน ก็ทรงปรับปรุงการบริหารราชการแผ่นดินต่างๆ อย่างขนานใหญ่ จนประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า รัชสมัยของพระนางเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองสงบสุข การค้าขายเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าบรรดาสุลต่านที่ครองราชย์ในอดีต เพราะบรรดาพ่อค้าชาติต่างๆ ที่เข้ามาค้าขายในปัตตานี ได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นธรรมนั่นเอง


รายาฮิเยา ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้แทนการค้าชาติต่างๆ
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง ปืนใหญ่จอมสลัด

ตวามเจริญทางเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง และการค้าที่เจิดจรัสเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง นับตั้งแต่ราชวงศ์ศรีวังสาได้สถาปนานครปัตตานี และปกครองมากว่าร้อยปี ทำให้พระนามขององค์รายาฮิเยา ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักเพียงในคาบสมุทรมลายูเท่านั้น ยังมีชื่อเสียงลือเลื่อง ขจรขจายไปทั่วโลกครับ

จนถึงขนาดที่กษัตริย์จากอาณาจักรต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป ได้ส่งคณะทูตมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนครปัตตานีโดยตรง ในระดับที่เหนือกว่ากรุงศรีอยุธยา และกรุงหงสาวดี ที่กำลังเป็นมหาอำนาจอยู่ในแผ่นดินใหญเวลานั้น

ซึ่งพระนางก็โปรดฯ ให้แต่งราชทูตไปยังเมืองต่างๆ เหล่านั้น เพื่อเป็นการตอบแทนสัมพันธภาพ รวมทั้งกรุงศรีอยุธยาและญี่ปุ่นด้วย

อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งบริบูรณ์ในฐานะศูนย์กลางการค้าขายในคาบสมุทรมลายู ประกอบกับการเป็นนครรัฐที่ปกครองโดยผู้หญิง ทำให้กรุงศรีอยุธยาคิดจะยึดกรุงปัตตานี เพื่อควบคุมเครือข่ายการค้าทางปักษ์ใต้

จนทำให้เกิดสงครามกันขึ้นในปลายรัชสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช


สมเด็จพระนเรศวรมหาราช รับบทโดย พันโทวันชนะ สวัสดี
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

จอมกษัตริย์แห่งอยุธยา หรือที่ชาวมลายูถวายพระสมัญญานามว่า รายา อาปี (ราชาแห่งไฟ) โปรดฯ ให้กองทัพจากกรุงศรีอยุธยา มุ่งลงใต้สู่นครรัฐปัตตานี ใน พ.ศ.๒๑๔๖

ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวง สะท้านสะเทือนไปทั่วดินแดนปักษ์ใต้ และคาบสมุทรมลายู

แต่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ทหารขององค์รายาฮิเยา ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากชาวต่างชาติ ที่มาค้าขายอยู่ในปัตตานีเวลานั้น สามารถต้านทานไว้ได้ครับ 

อีกทั้งยังทำให้กองทัพอยุธยา ได้รับความสูญเสียเป็นอันมาก จนต้องล่าถอยกลับกรุงศรีอยุธยาอย่างสิ้นหวัง

เหตุการณ์นี้ เป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วทุกนครรัฐในทะเลใต้ ถึงพระเดชานุภาพขององค์นางพญาแห่งปัตตานี ที่สามารถเอาชนะกองทัพของราชาแห่งไฟ มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ผู้พิชิตอาณาจักรพม่าและเขมร จนเป็นที่ครั่นคร้ามไปทั่วมาแล้ว


พระราชวังอิสตานานีลัม และป้อมเมืองปัตตานี
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง ปืนใหญ่จอมสลัด

แต่แม้จะเป็นผู้ชนะ องค์รายาฮิเยาก็ไม่ทรงมีพระราชประสงค์จะทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยาอีกหรอกครับ

พระนางทรงเข้าใจความประสงค์ของอยุธยาในด้านการค้าทางทะเล จึงมีการเจริญสัมพันธไมตรีกันในปีต่อมา คือ พ.ศ.๒๑๔๗

และหลังจากนั้น การค้าขายระหว่างปัตตานีกับกรุงศรีอยุธยา ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องด้วยดี สมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงเรียกรายาฮิเยาว่า พระนางเจ้าหญิง ซึ่งชาวเมืองปัตตานีก็พากันเรียกตาม แต่ออกเสียงเพี้ยนเป็น รายาจาเย็ง หรือ นาซาแย หรือ นังจาแย

และพลอยทำให้รัฐอื่นๆ ในโลกมลายู ต่างพากันเรียกพระนางว่า ราชานังจายัม (Raja Nang Cayam) ซึ่งก็ล้วนมาจากคำว่า พระนางเจ้าหญิง นั้นเอง

การที่กษัตริย์อยุธยา ใช้คำเรียกองค์รายาฮิเยาดังกล่าว ถือเป็นการยกย่องอย่างสูงครับ

เนื่องจากโดยปกติแล้ว ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาไม่ค่อยยอมรับฐานะการเป็นกษัตริย์ของบ้านอื่นเมืองอื่น โดยเฉพาะรัฐใดๆ ที่ทางอยุธยาเคยคาดหวังว่า จะผนวกเข้าเป็นประเทศราช

หลังจากนั้น นครปัตตานีก็ถึงพร้อมด้วยมั่งคั่งร่ำรวยอย่างแท้จริง ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ท่าเรือใหญ่คับคั่งไปด้วยเรือสินค้านานาชาติ  

ดังมีผู้บันทึกไว้ว่า อ่าวปัตตานียามค่ำคืน ณ เวลานั้น สว่างไสวไปด้วยแสงไฟของเรือสินค้าจากอยุธยา บรูไน จัมบี (Jambi) มากัสซาร์ (Makasar) โมลุกกะ (Moluccas) จีน ญี่ปุ่น กัมพูชา สุมาตรา ฮอลแลนด์ อังกฤษ โปรตุเกส และสเปน

เมื่อกิจการบ้านเมืองเป็นไปด้วยดีดังนี้ องค์รายาฮิเยาก็ทรงผ่อนคลายพระราชกิจลง ช่วงปลายรัชสมัย ๗ ปีก่อนสวรรคต พระนางประทับอยู่แต่ในพระราชวัง มิได้เสด็จพระราชดำเนินไปตรวจงานต่างๆ ด้วยพระองค์เองอีกต่อไป

เหล่าพสกนิกรและชาวต่างชาติ จึงได้มีโอกาสชื่นชมพระบารมีของพระนางอีกครั้ง ก็เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๑๕๕ ซึ่งพระนางและเจ้าหญิงบีรู รัชทายาท เสด็จพระราชดำเนินโดยชลมารค เพื่อไปล่าสัตว์ที่แหลมโพธิ์ ซึ่งผู้แทนการค้าชาวอังกฤษและชาติต่างๆ ก็ได้ตามเสด็จ และบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ไว้เป็นอันมากครับ


Triumphal Procession near the City of Patani
ภาพพิมพ์โดยศิลปินชาวฮอลันดาเมื่อ พ.ศ.๒๑๕๕
แสดงภาพขบวนเสด็จของรายาฮิเยา ซึ่งประทับบนพระคชาธาร

หลังจากนั้น พระนางก็เก็บพระองค์เงียบอย่างแท้จริง บุตตลภายนอกพระราชวังไม่ล่วงรู้ความเคลื่อนไหว หรือข่าวคราวใดๆ เกี่ยวแก่พระนางอีกเลย

จนอาจจะเป็นเหตุ ให้ความสัมพันธ์ระหว่างปัตตานี กับรัฐปาหังเริ่มเปลี่ยนแปลง

สุลต่านอับดุลฆอฟูร แห่งปาหัง ผู้เป็นน้องเขย เริ่มมีข้ออ้างที่จะไม่ปฏิบัติตามคำร้องขอต่างๆ ของทางปัตตานีอีกต่อไป

โดยเฉพาะเมื่อรายาฮิเยา ทรงมีพระราชสาส์นถึงองค์สุลต่าน ขอให้ทรงพาเจ้าหญิงอูงูเสด็จกลับมาประพาสปัตตานีบ้าง เนื่องด้วยพระน้องนางเธอ มิได้เสด็จกลับมาเฝ้าสมเด็จพระเชษฐภคินี เป็นเวลายาวนานถึง ๒๘ ปีแล้ว

และในเวลานั้น องค์รายาฮิเยาเองก็ทรงเจริญพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ทรงมีความอาลัย ถึงพระขนิษฐภคินีพระองค์เล็กเป็นอันมาก

แต่เมื่อสุลต่านปาหังทรงปฏิเสธอีก นางพญาผู้เก็บพระองค์เงียบอยู่ในพระราชวังมาหลายปี ก็ทรงสำแดงพระราชอำนาจให้ปรากฏอีกครั้ง

นางสิงห์ผู้ชรา ยังไม่สิ้นลายอย่างที่องค์สุลต่าน และเจ้าครองนครรัฐอื่นๆ หมิ่นประมาทไว้เลยครับ

ทรงมีพระราชโองการ ให้สกัดกั้นเรือสินค้าทุกลำจากอ่าวปัตตานี ที่จะเดินทางไปรัฐปาหัง และส่งกองทัพเรือ ๗๐ ลำ พร้อมกับกำลังพล ๔,๐๐๐ อัญเชิญพระราชสาส์นไปยังนครป่าหัง เพื่อทูลเชิญองค์สุลต่านให้ทรงพาครอบครัวเสด็จประพาสปัตตานีอีกครั้ง

เมื่อได้รับคำปฏิเสธอีก นครปาหังจึงถูกกองทัพเรือปัตตานีถล่มเสียหายยับเยิน แม้ทางปาหังจะได้กองทัพเรือจากสุลต่านฮัสซันแห่งบรูไน ซึ่งเป็นพันธมิตรมาช่วย ก็ไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น


สุลต่านอับดุลฆอฟูร แห่งปาหัง รับบทโดย เจษฎาภรณ์ ผลดี
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง ปืนใหญ่จอมสลัด

องค์สุลต่านปาหังจึงจำต้องยินยอม เสด็จพร้อมพระมเหสี และ เจ้าหญิงกูนิง พระธิดา มายังนครปัตตานีตามคำทูลเชิญดังกล่าว

วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๑๕๖ สุลต่านและราชินีแห่งปาหัง พร้อมด้วยพระธิดาเสด็จถึงปัตตานี คืนวันนั้นมีงานเลี้ยงใหญ่ภายในพระราชวัง ซึ่งองค์รายาฮิเยาโปรดฯ ให้ผู้แทนการค้าชาวอังกฤษ ฮอลันดา รวมทั้งชาติอื่นๆ ไปร่วมงานด้วย

หลังจากนั้น ทั้ง ๓ พี่น้องประทับอยู่ในพระราชวังด้วยกันอย่างทรงพระเกษมสำราญ ขณะที่สุลต่านแห่งปาหังนั้นดูไร้ความสุข และไม่ได้รับการถวายพระเกียรติแต่อย่างใด

เจ้านครปาหังประทับอยู่ที่ปัตตานีเป็นเวลา ๑ เดือน จึงพาพระมเหสีอูงู และพระราชธิดา ถวายบังคมลาองค์รายาฮิเยา กลับคืนสู่นครปาหัง โดยไม่สร้างปัญหาใดๆ อีกเลย

ทว่า หลังจากสุลต่านปาหัง พาพระมเหสีและพระธิดาเสด็จกลับปาหังไปแล้วเป็นเวลา ๑ เดือน ความยุ่งยากภายในพระนคร ก็เกิดขึ้นในปีต่อมา

กล่าวคือ วันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๑๕๖ ระหว่างเทศกาลถือศีลอดของเดือนรอมฎอน ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในสถานที่แห่งหนึ่ง และหัวหน้าพวกชวาคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บระหว่างการสอบสวน

เหตุการณ์นี้บานปลาย จนทำให้คนชวา ซึ่งได้เข้ามาอยู่ในปัตตานีเป็นจำนวนมากพากันลุกฮือ กลายเป็นจราจล มีการวางเพลิงเผาบ้านเรือนราษฎร จนไฟไหม้ถึงประตูพระราชวังอิสตานานีลัม รวมทั้งพากันฉุดคร่าอนาจารหญิงสาว และทำร้ายประชาชนทั่วไป

เวลานั้น ชาวอังกฤษและฮอลันดาในปัตตานี ได้นำอาวุธทันสมัยของตนเข้าร่วมกับกองทหารของรายาฮิเยา ปราบปรามกบฏชวา จนพวกกบฏต้องหลบหนีเข้าป่าบ้าง หนีออกไปยังเมืองสงขลา และพัทลุงบ้าง

ในที่สุด เหตุการณ์ดังกล่าวก็สงบลง บ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหายเป็นอันมาก ซึ่งองค์รายาก็โปรดฯ ให้ทางราชสำนักช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อน สร้างบ้านเรือนทดแทนให้ และพระราชทานอาหาร ตลอดจนเสื้อผ้าของใช้ต่างๆ ทำให้ขวัญกำลังใจของประชาชนกลับสู่ภาวะปกติในเวลาอันรวดเร็ว

หลังจากนั้นเพียงไม่ถึงสามปี เฮนดริก ยานเซน (Hendrik Janssen) พ่อค้าชาวฮอลันดาที่เข้ามาในปัตตานี ได้บันทึกไว้ว่า องค์รายาฮิเยาทรงพระประชวร และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๑๕๙ พระชนมายุได้ ๖๓ พรรษา


รายาฮิเยา รับบทโดย จารุณี สุขสวัสดิ์
เป็น characterที่น่าประทับใจที่สุด ในภาพยนตร์เรื่อง ปืนใหญ่จอมสลัด

ครับ, รายาฮิเยา ทรงเป็นกษัตริยาพระองค์แรกในคาบสมุทรมลายู ที่ทรงพระราชอำนาจเหนือบัลลังก์ยาวนานถึง ๓๒ ปี

พระนางไม่ทรงมีพระราชสวามี แต่ทรงเป็นผู้ปกครองเมืองปัตตานีที่พสกนิกรเคารพรัก และยังเป็นขัตติยนารีที่ผู้นำประเทศต่างๆ ทั้งซีกโลกตะวันออกและตะวันตก ยอมรับในพระปรีชาสามารถ

หลังสิ้นรัชกาล พระขนิษฐภคินีทั้งสองพระองค์ ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อ และทรงดำเนินตามรอยพระบาทขององค์ปฐมกษัตริยา รักษาตวามยิ่งใหญ่ของนครปัตตานีเหนือคาบสมุทรมลายูไปอีก ๓๐ ปี

ก่อนที่ทุกสิ่งจะขบสิ้นลง ในรัชสมัยของกษัตริยาพระองค์ที่ ๔ ซึ่งเป็นพระราชนัดดาขององค์รายาฮิเยานั่นเอง


……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

ขอขอบคุณ สหมงคลฟิลฺม เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพจากาพยนตร์ ปืนใหญ่จอมสลัด และ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

Total Pageviews