บันทึกบทความเก่าของอ.กิตติ วัฒนะมหาตม์
คอลัมน์หลากหลายลีลา “ผู้หญิงในประวัติศาสตร์”
หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หน้าสตรี-เด็ก 16 เมษายน พ.ศ.2534 (1/4)
ผู้หญิงในประวัติศาสตร์ที่จะขอแนะนำให้รู้จักกันในวันนี้
เป็นสตรีสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง
ซึ่งเคยมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของอารยธรรมหนึ่งในสยามประเทศ ของเรานี้เอง
คือประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย
เคยเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ปกครองเมืองพระร่วงด้วยบทบาทและฐานะ
ที่เรียกได้ว่า สูงส่งทัดเทียมกษัตริย์สุโขทัยทีเดียวแหละครับ
หลายคนคงงงเป็นอย่างยิ่งว่าพระมหาเทวีองค์นี้เป็นใครมาจากไหน...
ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พระมหาเทวีองค์นี้มีเรื่องราว
กล่าวถึงน้อยมากครับ และที่สำคัญ ก่อนที่จะเป็นงงเกี่ยวกับชื่อ พระมหาเทวี สุโขทัย
ลองถามใจตัวเองดูก่อนว่า ท่องจำชื่อพระร่วงสุโขทัยได้ครบทุกพระองค์หรือยัง
หรือว่าจำได้แต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เพราะตั้งเมืองสุโขทัย
จำได้แต่พ่อขุนรามคำแหง เพราะท่านเป็นเจ้าของศิลาจารึกหลักที่ 1 หลักเดียวจากจำนวนร้อยๆ หลักของสุโขทัยที่รัฐบาลท่านบังคับให้เราเรียนกัน
ท่องกันทุกวัน เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ใครใคร่ค้าช้างค้า...
หรือว่าจะจำพระมหาธรรมราชาธิราช ที่ชอบ เรียกกันว่า “พญาลิไท” เพราะท่านเป็นคนแต่งหนังสือไตรภูมิพระร่วง
ถ้าจำ 3 พระร่วงสุโขทัยนี้ได้ก็พอแล้วละครับ
เพราะจะได้ว่ากันไปเลย เรื่องของ พระมหาเทวีซึ่งไม่ไกลจากพระร่วงหนึ่งในสามพระองค์นี้มากนัก
เพราะทรงเป็นน้องหญิงหรือพระขนิษฐาของพระมหาธรรมราชาลิไทนั่นเอง ครับผม แต่ต้องขอเท้าความสั้นๆ
ก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไรจึงทำให้พระมหาเทวีมีความสำคัญขึ้นมาในประวัติศาสตร์สุโขทัย
ถ้ายังจำกันได้ หลังจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ตั้งกรุงสุโขทัยขึ้นแล้ว
สุโขทัยก็มาเจริญที่สุดสมัยพ่อขุนรามคำแหง จริงไหมครับ จากจารึกหลักที่ 1 ก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของสุโขทัยในช่วงเวลานี้ ซึ่งความมั่นคงเหล่านั้น
มาจากพ่อขุนรามคำแหงเป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลงบ้านเมืองต่างๆ
ในแคว้น สุโขทัยก็แตกแยกออกจากกัน เหมือนนักร้องดังแล้วแยกวงสมัยนี้ โดยที่กษัตริย์ที่ครองราชย์ต่อมาคือพระยาเลอไท
และพระยางั่วนำถมไม่สามารถแก้ไข สถานการณ์ได้มากนัก จนสิ้นรัชกาลพระยางั่วนำถม พระยาลิไทซึ่งเป็นอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัยอยู่กำลังเพิ่งจะเสร็จจากการแต่งหนังสือไตรภูมิพระร่วงมาไม่นานนัก
ก็ทนเห็นความวุ่นวายไม่ไหว
จึงจัดแจงยกทัพมาที่สุโขทัย แล้ว “เอาขวานประหารศัตรู”
คือกำจัดเชื้อสายราชวงศ์ที่กำลังจะขึ้นครองราชย์อย่างผิดประเพณีเสีย แล้วขึ้นครองเมืองสุโขทัย
จากเหตุการณ์ในศิลาจารึกตอนนี้ทำให้เราสังเกตว่า การรบกันระหว่างเจ้านาย
สมัยก่อนนั้น เขารบกันด้วยขวาน
น้องๆ คนไหนอ่านมาถึงตอนนี้แล้วกำลังเรียนประวัติศาสตร์สุโขทัยอยู่
ก็อย่าจำ เอาไปตอบครูล่ะครับ เพราะคำว่า “เอาขวานประหารศัตรู” เป็นสำนวนมากกว่า อย่างน้อยๆ
ในสมัยสุโขทัยคงมีดาบใช้ฟันกันแล้ว คงไม่ต้องรบกันด้วยขวาน ฮิฮิ
พระยาลิไทนี้เมื่อขึ้นครองราชย์ก็สามารถรวบรวมบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นได้อีกครั้ง
และทรงทำนุบำรุงการพระศาสนา (พุทธ) เป็นอย่างมาก ทำให้สุโขทัยเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาในภูมิภาคทีเดียว
มีการส่งพระเถระสำคัญๆ ไปเผยแผ่ศาสนาที่โน่นที่นี่ สร้างวัดอีกเพียบ จึงทรงได้สมญานามอันแสดงพระเกียรติยศว่า
“พระมหาธรรมราชา”
แต่แล้วพระมหาธรรมราชาลิไทก็ต้องพบกับคู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญ
คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ซึ่งสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นมาหมาดๆ
ทรงไม่ยินดีที่จะเห็นว่า มีศูนย์อำนาจอยู่ในแคว้นหัวเมืองเหนือราชอาณาจักรของพระองค์
พระมหาเทวีจึงได้ปรากฏพระนามขึ้นในช่วงนี้เอง
กล่าวคือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ยกทัพไปยึดเมืองสองแคว (พิษณุโลก)
ไว้ได้แล้วให้พี่เขยขึ้นมาปกครอง เมืองสองแควนี้อยู่ห่างจากสุโขทัยไม่ถึง 80 กิโลเมตร พระมหาธรรมราชาลิไทก็คงจะทรงเห็นแล้วว่า กองทัพของสุโขทัยน่าจะมีความเจนจัดทางการรบเป็นรองทาง
กรุงศรีอยุธยาอยู่ จึงใช้พระพุทธศาสนาเข้าเป็นเครื่องมือต่อรอง บางตำราว่า เสด็จ
ออกบวชขอบิณฑบาตเมืองสองแควคืน
พระมหาธรรมราชาลิไททรงได้เมืองสองแควคืนครับ แต่มีเงื่อนไขบางอย่างผูกพัน
ว่า พระองค์ต้องเสด็จจากสุโขทัยไปครองอยู่ที่นั่น ทิ้งราชบัลลังก์สุโขทัยไว้กับพระมหาเทวี
ผู้เป็นน้องหญิงพระองค์ครองต่อไป ที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
ทรง กำหนดเช่นนี้ก็เพื่อคานอำนาจทางฝ่ายสุโขทัยไว้กั้นการแข็งข้อไงครับ
และพระมหาเทวีได้ทรงปกครองดูแลสุโขทัยแทนพระเชษฐาธิราชอยู่เป็นเวลาถึง
7 ปี เวลา 7
ปีบนราชบัลลังก์สุโขทัยสำหรับสตรีสูงศักดิ์สมัยก่อน ที่เราทราบกันดีว่า
ไม่เคยมีบทบาทในการปกครองแผ่นดินมาก่อนเลย จัดว่าเป็นช่วงเวลาที่สาหัสสากรรจ์พอสมควรนะครับ
แสดงให้เห็นถึงสายเลือดผู้นำซึ่งมีอยู่ในองค์พระมหาเทวีไม่น้อยไปกว่าพระเชษฐาธิราชเลย
ดังนั้น แม้ว่าพระมหาเทวีจะไม่ได้ครองอำนาจในช่วง
7 ปีนี้ เสมอกษัตริย์ในพระราชวงศ์พระร่วง แต่ก็ได้ทำหน้าที่ดูแลกิจการบ้านเมืองด้วยดีมาตลอด
ถ้าจะพูดว่า สำหรับสตรีที่ไม่เคยปกครองบ้านเมืองมาก่อน ทำได้ขนาดนี้ก็นับว่า
เยี่ยมยอด แล้วครับ
เป็นชีวิตของผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง ที่ผู้หญิงเก่งในสมัยนี้ควรจะศึกษาอย่างยิ่งทีเดียว
จนกระทั่ง พ.ศ. 1912 สมเด็จพระรามาธิบดีที่
1 เสด็จสวรรคตนั้นแหละครับ พระมหาธรรมราชาธิลิไทจึงเสด็จกลับมาจากเมืองสองแคว
มาระดมแนวร่วมของบ้าน เมืองต่างๆ ในแคว้นสุโขทัยอีกครั้ง
แต่โชคก็ไม่เข้าข้างฝ่ายสุโขทัย พระมหาธรรมราชาธิราชเจ้ากลับมาสถาปนา
ความมั่นคงขึ้นอีกคำรบหนึ่งได้ประมาณ 2 ปีเท่านั้น พระองค์ก็สิ้นพระชนม์จากไป
และในปีที่เสด็จสวรรคตนี้เอง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา
ก็ ยกทัพกลับเข้ามายึดครองดินแดนในแคว้นสุโขทัยได้ทั้งหมด และทรงสนับสนุน
ให้พระมหาเทวีเป็นเจ้าของกรุงสุโขทัยต่อไป การสนับสนุนนี้ผู้รู้บางท่านว่า คือการ
สถาปนาพระมหาเทวีเป็นพระมเหสีองค์หนึ่งของพระองค์นั่นเองครับ
ซึ่งจะทำให้ได้ความมั่นใจว่า สุโขทัยอยู่ในขอบข่ายอำนาจของอยุธยาอย่างแน่นอน
แต่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ก็ไม่ได้ทรงกระทำกับมหาเทวีอย่างกับเจ้านายของฝ่ายผู้แพ้สงคราม
ทรงให้ความสำคัญอยู่มากเหมือนกันครับ เมื่อมีการ ระหองระแหงขึ้นในบ้านเมืองต่างๆ
ในแคว้นโขทัย จนกระทั่งจะมากระทบพระมหา เทวี สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ก็จะทรงจัดการสะสางให้
พระมหาเทวีจะทรงเต็มพระทัยกับการเป็นพระมเหสี
และปกครองสุโขทัยไว้ โดย ขึ้นตรงกับอยุธยาแค่ไหน ไม่อาจจะทราบได้ แต่ถ้าพระนางเลือกที่จะไม่ยอมและแข็งข้อจนถึงที่สุดแล้ว
สุโขทัยก็มีสิทธิ์จะราบเป็นหน้ากลอง เหมือนอย่างที่พม่า และเขมรโดนในสมัยต่อมา
จะพูดตามหลักสตรีนิยมว่านี่คือการแสดงออกถึงการกดขี่ทางเพศก็ได้
แต่ก็น่าคิด เหมือนกันว่า เมื่อเผชิญกับผู้ชายที่มีอำนาจมากกว่า และไม่เพียงแต่ตนเอง
ประเทศชาติจะต้องพินาศไปด้วยถ้าตัดสินใจพลาด แล้วพระมหาเทวีทรงแก้ปัญหานี้ได้อย่างที่ผู้หญิงสูงศักดิ์ในสมัยนั้นจะกระทำได้
ซึ่งผลก็คือ พระมหาเทวีทรงปกครองสุโขทัยมาด้วยความสงบสุขเรียบร้อยมาอีก
เป็นเวลาถึง 10 ปี ไม่มีการสูญเสียอะไร
นอกจากอำนาจอันชอบธรรมในการ ปกครองที่สุโขทัยเคยมีอยู่ แต่ไม่มีหลักฐานว่าทางอยุธยาจะมาก้าวก่ายในสิ่งใดอีก ประชาชนอยู่กันด้วยความผาสุก
พระมหาเทวีทรงปกครองสุโขทัยด้วยอำนาจเสมอกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง การพระศาสนาก็ทรงทะนุบำรุงสืบต่อจากที่พระ
เชษฐาธิราชทรงริเริ่มไว้ ในระยะเวลา 10
ปีแห่งความสงบเรียบร้อยนี้ มีหลักฐาน กล่าวถึงพระนางน้อยมาก
นอกจากพระพุทธรูปองค์หนึ่ง
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพระนางกับทาง อยุธยา พระพุทธรูปนี่สร้างในศิลปะอู่ทองรุ่นหลัง
ซึ่งเป็นศิลปะของอยุธยาตอนต้น แต่พบอยู่ที่วัดมหาธาตุ สุโขทัย ที่ฐานพระพุทธรูปมีจารึกด้วยอักษรสุโขทัยความว่า
พระพุทธรูปองค์นี้ “เจ้าแม่” ให้ สร้างไว้กับบูรพาราม คำว่า “เจ้าแม่” หมายถึง
นางผู้เป็นใหญ่ คือ พระมหาเทวีนั่นเองครับ
![]() |
พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองรุ่นหลัง (กลางพุทธศตวรรษที่ 20) ที่ “เจ้าแม่” โปรดให้สร้าง ถวายวัดบูรพาราม เมืองสุโขทัย ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย (ที่มา : คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี สำนักนายกรัฐมนตรี, 2513 : 269) จากhttps://www.bloggang.com/data/t/tuk-tukatkorat/picture/1405299210.jpg
พระมหาเทวีไม่ทรงจำเป็นต้องแสดงความกล้าหาญเช่นนั้น
ความกล้าหาญในการตัดสินใจแก้ปัญหาโดยให้สูญเสียน้อยที่สุดของพระนางมีมากกว่า แต่ไม่มีใครสนใจที่จะทำการจารึกไว้
และไม่มีการสนใจที่จะนำมาวิเคราะห์กันเท่านั้น จะสังเกตได้ว่า ประวัติศาสตร์อารยธรรมในตอนเหนือของประเทศไทยต่างก็เคยกล่าวถึงผู้หญิงเก่งในประวัติศาสตร์
ซึ่งแสดงความสามารถในการปกครอง โดยไม่ ต้อง SHOW OFF ว่ามีความเด็ดเดี่ยวเยี่ยงชาย
ไม่ว่าจะเป็นพระนางจามเทวีแห่งแคว้นหริภุญไชย หรือพระมหาเทวีแห่งแคว้นสุโขทัย
ผู้หญิงในสมัยหลังๆ ลงมา
จะมีชื่ออยู่ได้ก็ต้องแสดงความกล้าหาญเยี่ยงบุรุษในการสงครามมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
และผู้หญิงก็หลุดออกจากชนชั้นผู้นำในการ ปกครองมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเช่นกัน
No comments:
Post a Comment