*วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา*
ตำนานเมืองฝาง ในจังหวัดเชียงใหม่ปัจจุบันนี้
ได้บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๕๕-๒๑๗๕ เป็นเมืองใหญ่ที่ปกครองโดยกษัตริย์
ทรงมีพระนามว่า พระเจ้าฝางอุดมสิน
ตามหลักฐานที่ค้นพบหลาย ๆ แห่งระบุว่า
พระเจ้าฝางอุดมสินพระองค์นี้ พระนามเดิมชื่อ พญาเชียงแสน เป็นพระราชบุตรของกษัตริย์เชียงแสน
พระองค์ทรงอพยพครอบครัว และไพร่พลมาจากเมืองเชียงแสนประมารณ
๕,๐๐๐ ครอบครัว มาสร้างเมืองฝาง และขึ้นครองราชย์ในราวๆ ปีพ.ศ.๒๑๕๕
อันเป็นระยะเวลาขึ้นครองราชย์ที่เก่าที่สุดเท่าที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป
ตำนานเมืองฝางกล่าวว่า
พระเจ้าฝางอุดมสินทรงมีน้ำพระทัยเป็นกุศล ใจบุญสุนทาน ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรม
พสกนิกรอยู่เย็นเป็นสุข
เมืองฝางในรัชกาลของพระองค์นั้นใหญ่โต
มีไพร่บ้านพลเมืองมากมายยิ่งนัก
จนมีคำเปรียบเทียบว่าถ้าอยากรู้จำนวนครัวเรือนเมืองฝางมีเท่าใด ก็ให้เอาต๋าง
(กระบุง) ไปเร่เก็บเอาเข็มเย็บผ้าจากชาวบ้านมา จะได้เข็มถึง ๓ กระบุง
แต่แม้กระนั้น
ทั้งพระเจ้าฝางและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็มั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินโดยทั่วกัน
จนทรงมีพระสมัญญานามว่า พระเจ้าฝางอุดมสิน ด้วยเหตุดังกล่าว
พระเจ้าฝางอุดมสิน ทรงมีพระมเหสีองค์หนึ่ง
เป็นบุตรีของเจ้าเมืองล้านช้าง(เวียงจันทร์)
ซึ่งมีพระสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศว่า
พระนางทรงมีผิวพระวรกายถึงสามผิวในแต่ละวัน
กล่าวคือเวลาเช้า
ผิวพรรณของพระนางจะขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง นวลขาวดังปุยฝ้าย
เวลาเที่ยงสีผิวของพระนางจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน
และเวลาเย็นสีผิวพระวรกายของพระนางจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อดุจดอกปุณฑริก
(ดอกบัวขาบ) เป็นที่น่าชวนพิสมัยอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้พระนางจึงได้รับการถวายพระสมัญญานามว่า
พระนางสามผิว
พระรูปองค์ปัจจุบันของพระเจ้าฝาง และพระนางสามผิว |
พระเจ้าฝางและพระนางสามผิว
ทรงมีพระราชธิดาองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระนางมะลิกา
ซึ่งผมได้โพสต์เป็นบทความต่างหากไว้ใน http://chamadewi.blogspot.com/2017/07/blog-post.html แล้วครับ
เล่ากันว่า
จากพระฉวีที่งดงามผุดผ่องของพระมเหสีเจ้าเมืองฝางนี้เอง
ทำให้เป็นข่าวเลื่องลือแพร่ออกไปว่าพระเจ้าฝางมีมเหสีที่งดงามยิ่งนัก
ยากที่จะหาหญิงใดเทียมได้
เมื่อข่าวนี้ล่วงรู้ถึงพระกรรณของ พระเจ้าสุทโธธรรมราชา
กษัตริย์พม่า พระองค์ก็ทรงมีพระราชดำริจะมาทอดพระเนตรให้เห็นความจริง
จึงได้ทรงปลอมแปลงกายเป็นพ่อค้าต่างแดน นำสินค้ามาจากเมืองตะโก้ง (ย่างกุ้ง)
เข้ามาขายยังเมืองฝาง และได้เข้าทูลถวายผ้าเนื้อดีแด่องค์กษัตริย์และขัตติยนารีฝาง
เพื่อจะได้ยลโฉมพระนางสามผิวว่าจะสวยงามดังคำเล่าลือหรือไม่
ครั้นกษัตริย์เมืองพม่าได้เห็นพระพักตร์พระนางเท่านั้น
พระองค์ก็ทรงหลงรักพระนางทันที
หลังจากที่ถวายผ้าแก่พระเจ้าฝาง และพระชายาเรียบร้อยแล้ว
พระเจ้าสุทโธธรรมราชาเสด็จกลับยังที่ประทับ พระองค์ทรงคร่ำครวญถึงแต่พระนาง
ครั้นจะมาสู่ขอพระนางก็มีพระสวามีแล้ว
พระเจ้าสุทโธธรรมราชา
กษัตริย์พม่าจึงเสด็จกลับกรุงอังวะ นำกองทัพมาทำสงครามกับพระเจ้าฝางใน ปีพ.ศ.๒๑๗๒
ศักราชได้ ๙๙๐ ตัว เดือน ๘ เหนือ แรม ๑๓ ค่ำ
แต่ทรงล้อมเมืองฝางไว้เป็นเวลานานนับปีก็ไม่สำเร็จ
จนมีนางแม่หม้ายคนหนึ่ง
ไปแนะอุบายให้พระเจ้าสุทโธธรรมราชายกกำลังไปปราบบ้านเล็กเมืองน้อยรอบๆ
เมืองฝางก่อนเพื่อไม่ให้ส่งเสบียงให้เมืองฝางได้
พระเจ้าสุทโธธรรมราชาทรงทำตามคำแนะนำนั้น
และทำให้ได้กำลังเพิ่มมาช่วยตีเมืองฝาง เช่นจากเมืองแข่และเมืองฮ่อ เป็นต้น
จนในที่สุด
กองทัพพม่ายกกลับมาปิดล้อมเมืองฝางไว้อีกครั้ง
ไม่ให้ชาวบ้านชาวเมืองได้ออกนอกกำแพงเมืองเพื่อทำมาหากิน
คราวนี้สามารถปิดล้อมได้เป็นเวลานาน จนชาวเมืองฝางอดอยากยากแค้น
เสบียงอาหารที่มีอยู่ก็ร่อยหรอลงจนหมด
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ทั้งเจ้าเมืองฝางกับพระนางสามผิวทรงพระดำริว่า สาเหตุมาจากทั้งสองพระองค์
เพื่อเห็นแก่ชีวิตไพร่ฟ้าของแผ่นดินและเพื่อยุติความทุกข์ยากทั้งปวง
ทั้งสองพระองค์จึงตัดสินพระทัยชวนกันไปกระโดดลง บ่อน้ำซาววา
เป็นการปลงพระชนม์พระองค์เอง เพื่อรักษาชีวิตชาวเมืองไว้
บ่อน้ำซาววา หน้าพระราชานุสาวรีย์พระเจ้าฝางและพระนางสามผิว บันทึกภาพโดย อ.ดนัย นาควัชระ |
เมื่อพระเจ้าสุทโธธรรมราชายกทัพเข้าเมืองฝางได้
และทรงทราบว่าทั้งเจ้าเมืองฝางกับพระนางสามผิวกระโดดลงบ่อน้ำสิ้นพระชนม์แล้ว
กษัตริย์พม่าก็ทรงมีความเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
จึงได้ยกทัพกลับพม่าไปโดยมิได้กระทำอันตรายอย่างใดแก่ประชาชนในเมืองฝาง
แม้ว่าจะต้องทรงใช้ระยะเวลาทำสงครามยาวนานถึง ๓ ปีก็ตาม
ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเจ้าเมืองฝางพากันเห็นว่า
เจ้าเมืองและพระมเหสีทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อรักษาเมืองฝาง และชีวิตของชาวเมืองไว้
จึงพากันเคารพบูชาทั้งสองพระองค์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองฝางมาตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี
จนในที่สุด
ได้มีการสร้างพระราชานุสาวรีย์ทั้งสองพระองค์ไว้ที่บ่อน้ำซาววา ซึ่งอยู่หน้า
วัดพระบาทอุดม ในปัจจุบัน
และพากันกราบไหว้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ปกบ้านคุ้มเมืองให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขตราบจนทุกวันนี้
ตำนานพระนางสามผิวที่รับรู้กันโดยทั่วไป
มีเนื้อหาดังนี้ละครับ แต่ก็มีอีกแหล่งหนึ่ง
ซึ่งใกล้เคียงกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากกว่า
โดยตำนานชุดหลังนี้กล่าวว่า
ในขณะที่พระเจ้าฝางอุดมสินมาปกครองเมืองฝางนั้น เมืองฝางยังคงเป็นเมืองขึ้นของพม่า
พระเจ้าฝางจึงทรงมีความคิดที่จะกอบกู้อิสรภาพให้แก่เมืองฝาง
โดยให้ส้องสุมผู้คนและได้ตระเตรียมอาวุธเสบียงกรังไว้พร้อม
จากนั้นก็กระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมส่งส่วยและขัดขืนคำสั่งของพม่า
เมื่อทางพม่ารู้ว่าเมืองฝางคิดจะแข็งข้อ
จึงได้ยกกองทัพมาปราบ โดยกษัตริย์พม่าแห่งกรุงอังวะพระนามว่า พระเจ้าภะวะสุทโธธรรมราชา
ทรงนำกองทัพเข้าตีเมืองฝางในปีพ.ศ.๒๑๗๖ ศักราชได้ ๙๙๔ ตัว
ซึ่งพระเจ้าฝางก็ทรงนำทัพป้องกันเมืองอย่างแข็งขัน
ทำให้พญาภะวะสุทโธธรรมราชาเข้าตีเมืองไม่ได้
พญาภะวะสุทโธธรรมราชาจึงได้เปลี่ยนแผนการรบใหม่
โดยตั้งค่ายอยู่บนเนินด้านทิศเหนือของเมืองฝาง ที่ เวียงสุทโธ คือที่ตั้งศาลจังหวัดฝาง
เรือนจำจังหวัดฝาง ที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง และ สถานีตำรวจภูธรอำเภอฝางในปัจจุบันนี้
ทรงวางยุทธศาสตร์นำกำลังทหารล้อมเมืองไว้
แล้วสั่งให้ทหารระดมยิงธนูไฟเข้าใส่เมืองฝาง ทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย
ประชาชนเสียขวัญ ทหารและไพร่บ้านพลเมืองพากันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
พม่าล้อมเมืองฝางไว้เป็นเวลานานถึง ๓ ปี กับ ๖
เดือน ทำให้เสบียงอาหารที่เก็บไว้ในเมืองฝางที่เก็บสะสมไว้หมดลง ประชาชนอดอยาก
พระเจ้าฝางอุดมสินและพระนางสามผิว
ทั้งสองพระองค์ทรงคิดว่าสาเหตุของการเกิดศึกในครั้งนี้
ต้นเหตุนั้นเกิดจากพระองค์ทั้งสองแท้ ๆ ที่คิดจะกอบกู้อิสรภาพ
ทำให้ประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อน และการกระทำครั้งนี้ก็ไม่สำเร็จ
ทั้งสองพระองค์จึงตัดสินพระทัยสละพระชนม์ชีพ
เพื่อปกป้องผู้คนชาวเมืองฝางให้พ้นจากความอดอยากและการถูกเข่นฆ่าจากกองทัพของพญาภะวะสุทโธธรรมราชา
และในคืนวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๖ เหนือ
พุทธศักราช ๒๑๘๐ ศักราชได้ ๙๙๘ ตัว พระเจ้าฝางพร้อมด้วยพระนางสามผิว จึงได้สละพระชนม์ชีพด้วยการกระโดดน้ำบ่อซาววา
รุ่งสางของวันต่อมา
กองทัพพญาภะวะสุทโธธรรมราชาก็บุกเข้าทางกำแพงด้านทิศเหนือของเมืองฝาง
ตีเอาบ้านเมืองได้สำเร็จ
พระรูปพระนางสามผิว ขนาดบูชา ๓ นิ้ว |
เมื่อรำลึกถึงวีรกรรมของพระเจ้าฝาง
พระนางสามผิว ที่ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อปกป้องประชาชนของพระองค์ พญาภะวะสุทโธธรรมราชา
จึงได้ออกคำสั่งมิให้ทหารของพระองค์ทำร้ายเข่นฆ่าชาวเมืองฝางอีก
และได้ยกทัพกลับไปกรุงอังวะประเทศพม่าโดยมิได้ยึดครองเมืองฝางแต่ประการใด
เช่นเดียวกับตำนานชุดแรกที่กล่าวมาแล้ว
ที่จริงยังมีเรื่องเล่าชาวบ้านทำนองมุขปาฐะ
เล่ากันแตกต่างไปอีกครับ
บ้างว่า พระเจ้าฝางอุดมสินและพระนางสามผิว มิได้สละพระชนม์ชีพด้วยการโดดลงบ่อน้ำซาววา
แต่พากันหนีไปยังเมือง โกสินารายณ์ ก็มี
บ้างก็ว่า พระนางมะลิกา
ผู้ทรงเป็นพระราชธิดานั่นเอง ที่ส่งทหารมาช่วยถวายการอารักขาทั้งสองพระองค์เสด็จหนีไปได้
แต่คนฝางโดยทั่วไป
เชื่อกันว่าทั้งสองพระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อปกป้องบ้านเมืองดังกล่าวแล้ว
มิฉะนั้นหากทั้งสองพระองค์แพ้ศึก
แล้วพากันหลบหนีไปที่อื่น
ก็คงไม่เป็นเหตุให้คนเมืองฝางพากันเคารพรักทั้งสองพระองค์มาจนทุกวันนี้เป็นแน่
ตำนานพระนางสามผิว ยังมีความเกี่ยวข้องกับภูมิสถานต่างๆ
ในอำเภอฝาง เช่นที่ ต.ม่อนปิ่น เล่ากันว่าเป็นที่พระนางเสด็จประพาส
และทรงทำปิ่นปักผมตกไว้ คำว่า ปิ่น ที่เป็นชื่อตำบลดังกล่าว จึงหมายถึง
ปิ่นปักผมของพระนางสามผิวนั่นเอง
ทั้งหมดทั้งมวล ที่ได้บรรยายมานี้
มีความจริงอยู่เบื้องหลังครับ
ดังมีข้อเขียนของนักวิชาการท้องถิ่นชาวฝางท่านหนึ่ง
คือ อ.อินทร์ศวร แย้มแสง ซึ่งเรียบเรียงไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๔
และมีการนำมาเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ http://www.fangcity.com
ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑) หลังสิ้นรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนอง ทางพม่าเกิดจราจล
พระยาสุทโธธรรมราชา หรือสะโด๊ะธรรมราชา กษัตริย์พม่าเมืองอังวะ
มีอำนาจปราบปรามกษัตริย์เชื้อสายบุเรงนองได้ ก็ตั้งตัวเป็นใหญ่
และยกทัพตามมาปราบเชื้อสายบุเรงนอง ในล้านนาไทยต่อไป
รวมทั้งยกทัพมาตีเมืองฝาง ในปี พ.ศ.๒๑๗๕
ตรงกับสมัยพระเจ้าทรงธรรม กรุงศรีอยุธยาเวลานั้น พม่าล้อมเมืองฝางอยู่ ๓ ปี
ก็ตีเมืองฝางแตก แล้วยกมาเชียงใหม่ต่อไป
๒) ในตำนานหรือพงศาวดาร ที่กล่าวถึงพระนามว่า
พระนางสามผิว ก็มีอยู่เป็นหลักฐาน ในปี พ.ศ๒๓๐๗ ว่า
“พม่าตั้งนายชายแก้ว
ให้เป็นเจ้าฟ้าชายแก้ว ครองเมืองลำปาง ในปีจุลศักราช ๑๑๒๖ ล้อโป่ซุก แม่ทัพพม่า
จึงเอานายขนานกาวิล กับนายดวงทิพ บุตรเจ้าฟ้าชายแก้ว คุมพลชาวเมืองนครลำปาง
เข้าสมทบกับกองทัพพม่า ยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ ได้เมืองเวียงจันทน์ และธิดาเจ้าเวียงจันทน์
ชื่อ นางสามผิว ส่งไปถวายพระเจ้าอังวะ”
เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่
๒ เท่านั้น แต่นิยายเรื่องพระนางสามผิว ที่เล่าสืบๆ กันมา เป็นเรื่องเก่าแก่โบราณ
ซึ่งในทรรศนะของผม เห็นว่า คำอธิบายของ
อ.อินทร์ศวร ในประเด็นที่ ๑ เป็นคำอธิบายที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ของทางพม่า
และเชียงใหม่ในช่วงนั้นเพียงพออยู่แล้ว
จนไม่น่าจะมีความเคลือบแคลงใดๆ
ในเรื่องสงครามระหว่างพม่ากับเมืองฝาง ในสมัยพระนางสามผิว
เพราะบัดนี้
เรารู้กันแล้วว่าสงครามระหว่างพระเจ้าฝางอุดมสิน
กับพระเจ้าสุทโธธรรมราชาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มิได้เป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น
ทั้งยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายจากบ้านเมืองอื่นๆ
ในล้านนาร่วมสมัยเดียวกันรองรับอีกด้วย
พระรูปพระเจ้าฝาง และพระนางสามผิว พิมพ์นูนสูง หล่อด้วยไฟเบอร์กลาส เดิมประกบติดบนพื้นกำมะหนี่สีแดง ภายในกรอบภาพไม้สัก |
โดยจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสรุปรวมจากหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ ความเป็นมาของเมืองฝางมีมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่สมัย พญามังราย หลังจากทรงสร้างเมืองเชียงราย พระองค์ได้เสด็จมาสร้างเมืองฝางที่ฝั่งน้ำแม่ใจ และทรงครองเมืองฝางประมาณ ๑๕ ปี แล้วจึงยกทัพไปตีเมืองหริภุญไชยในพ.ศ.๑๘๒๔
หลังจากพญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่เสร็จในพ.ศ.๑๘๓๙
แล้ว เมืองฝางจึงมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงของเชียงใหม่ โดยมีราชบุตร เชื้อพระวงศ์
และขุนนางมาปกครองโดยตลอด
จนกระทั่งพ.ศ.๒๑๗๒ เมื่อทางพม่าผลัดแผ่นดิน
พระเจ้าหงสาวดีมหาธรรมราชาสวรรคต
พระเจ้าแปรน้องยาเธอทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสุทโธธรรมราชา
หรือ ตลุนมิน
เวลานั้น พระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมือง
หรือ เจ้าพระยาพลศึกซ้ายชัยสงคราม
ทรงคิดแยกเชียงใหม่ออกจากการเป็นประเทศราชของพม่า
พระเจ้าสุทโธธรรมราชาจึงต้องยกทัพมาปราบ
แต่นอกจากเชียงใหม่
ก็ยังมีหัวเมืองล้านนาอื่นๆ ตั้งตัวเป็นอิสระ ไม่ยอมขึ้นต่อพม่าเช่นกัน
หนึ่งในนั้นก็คือ เมืองฝาง
ซึ่งมีพระเจ้าฝางอุดมสิน เป็นผู้นำนี่แหละครับ
ดังนั้น
พระเจ้าสุทโธธรรมราชาจึงต้องทรงกรีฑาทัพมาปราบเมืองฝางเสียก่อนที่จะยกไปตีเชียงใหม่
ตามคำอธิบายของ อ.อินทร์ศวร เป็นเหตุผลในด้านการสงคราม และการขยายอำนาจ
หามีความเกี่ยวข้องอันใดกับพระนางสามผิว
ดังที่กล่าวไว้ในตำนานไม่
จากข้อมูลหลายๆ เอกสารที่สอดคล้องกัน
พระเจ้าฝางอุดมสินสามารถต้านทานกองทัพพม่าได้ ๓ ปี
ในที่สุดเมืองฝางจึงตกอยู่ภายใต้อํานาจของพม่าเมื่อพ.ศ.๒๑๗๕
พระเจ้าสุทโธธรรมราชาทรงแต่งตั้งให้ แสนหลวงเรือดอน ชาวเมืองเชียงแสนเป็น พญาหลวงทิพยเนตร เจ้าเมืองฝาง ก่อนที่จะเสด็จยาตราทัพสู่นครเชียงใหม่ต่อไป ดังกล่าวแล้ว
พระเจ้าสุทโธธรรมราชาทรงแต่งตั้งให้ แสนหลวงเรือดอน ชาวเมืองเชียงแสนเป็น พญาหลวงทิพยเนตร เจ้าเมืองฝาง ก่อนที่จะเสด็จยาตราทัพสู่นครเชียงใหม่ต่อไป ดังกล่าวแล้ว
นั่นคือข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เรามีกันอยู่
ซึ่งเป็นสงครามที่เกิดกับเมืองฝางจริงๆ และมีการจดบันทึกเป็นจดหมายเหตุ
และตำนานกระจัดกระจายไว้ตามที่ต่างๆ อย่างเด่นชัด
เมื่อสงครามที่เกิดขึ้น
เป็นเรื่องของการขยายอำนาจของทางพม่าโดยตรง เราก็จำเป็นต้องตระหนักว่า
ตำนานเล่าขานเกี่ยวแก่พระนางสามผิว ย่อมเท่ากับไม่มีข้อพิสูจน์อย่างแท้จริง
ดังเช่น
เรื่องที่พระเจ้าสุทโธธรรมราชาทรงปลอมพระองค์มาชมโฉมพระนางสามผิว
อาจจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องอื่นๆ ก็เป็นได้
ซึ่งเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้
ก็ยังเกิดขึ้นกับพระนางมะลิกา แห่งเวียงแม่อายด้วยนะครับ
และข้อสำคัญ
องค์พระนางสามผิวเองแม้จะทรงมีพระสิริโฉมเป็นเลิศ
แต่ก่อนที่จะมีศึกพม่ามาประชิดพระนคร
พระราชธิดาของพระนางคือ เจ้าหญิงมะลิกา
ทรงเจริญพระชันษาพอที่จะทรงมีเวียงของพระนางเองสำหรับแยกไปปกครองต่างหาก
ซึ่งตามตำนานว่าทรงมีพระชนมายุได้ ๑๘ พรรษา
แสดงให้เห็นว่า
พระนางสามผิวในเวลานั้นก็คงจะทรงเป็นผู้ใหญ่ พระชนมายุไม่น้อยแล้ว
ทำให้ดูขัดกันกับตำนานที่เล่าว่า
กษัตริย์พม่าถึงกับลงมือทำสงคราม เพื่อจะชิงพระนางไปเป็นพระมเหสีของตน
แล้วจะมีความเป็นไปได้เพียงใด
ที่พระเจ้าสุทโธธรรมราชาในความเป็นจริงนั้น
จะทรงสลดพระทัยในการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าฝางอุดมสิน และพระนางสามผิว
จนทรงยกทัพต่อไปยังเมืองเชียงใหม่โดยไม่ทำอันตรายเมืองฝาง ดังที่ตำนานกล่าวไว้?
เหตุการณ์นี้
คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เชื่อได้ยากเช่นกัน เมื่อมองจากสายตาของนักประวัติศาสตร์
พระรูปพระเจ้าฝาง พระนางสามผิว องค์เดิม เ มื่อสร้างพระราชานุสาวรีย์ครั้งแรก อ.ดนัย นาควัชระ ถ่ายภาพ |
และเราก็มีหลักฐานของทางเชียงใหม่
ที่อาจจะนำมาเปรียบเทียบในกรณีนี้ได้ด้วยนะครับ
กล่าวคือ จากบันทึกของทางเชียงใหม่ ในพ.ศ.๒๑๗๔
จ.ศ.๙๙๓ ปีมะแมตรีศก
พระเจ้าสุทโธธรรมราชายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ ในครั้งนั้นมีการต่อสู้อย่างดุเดือด
วัดวาอารามหลายแห่งถูกกระสุนปืนใหญ่ทำลายเสียหาย เช่น วัดอภัย วัดหัวข่วง
วัดสุทธาวาส
เมื่อพระเจ้าสุทโธธรรมราชาตีเชียงใหม่ได้แล้ว
ได้จับกุมเอาตัวพระเจ้าเชียงใหม่ ไปคุมขังไว้ที่เมืองหงสาวดีจนทิวงคต
ทรงแต่งตั้งให้พญาหลวงทิพยเนตร (ผู้ครองเมืองฝางแทนพระเจ้าฝางอุดมสินก่อนหน้านั้น)
ไปครองเชียงใหม่ แล้วทรงยกทัพไปปราบเมืองต่างๆ ในเขตล้านนา
ยึดเมืองทุกเมืองไว้ในอำนาจจนหมดสิ้น
ข้อมูลนี้
ชี้ให้เห็นสิ่งที่เป็นปกติธรรมดาของสงครามสมัยนั้น
ที่ย่อมจะต้องมีวัดวาอารามสิ่งก่อสร้างในเมืองถูกทำลาย
เจ้าเมืองผู้แพ้สงครามถูกประหาร หรือไม่ก็ถูกจับกุมตัวเป็นเชลย
ดังนั้น
แม้ตำนานพระนางสามผิวจะให้ภาพอันน่าประทับใจว่า การเสียสละพระองค์เองของพระเจ้าฝาง
กับพระนางสามผิว ทำให้ชาวเมืองฝางรอดพ้นอันตรายจากกองทัพของพระเจ้าสุทโธธรรมราชาได้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เมืองฝางที่แพ้สงครามในพ.ศ.๒๑๗๔-๗๕
ก็คงประสบชะตากรรมไม่ต่างกับเมืองเชียงใหม่อย่างแน่นอน
ดังที่มีตำนานบางกระแสบันทึกไว้ว่า
ครั้นพระเจ้าสุทโธธรรมราชาได้เมืองฝางแล้ว ทรงสั่งให้ริบเอาอาวุธปืนสินาด และอื่นๆ
พร้อมกวาดต้อนครัวเรือนผู้คนเป็นเชลยไปอังวะ เหลือไว้เพียงผู้เฒ่าผู้แก่และเด็ก
กับมีดพร้าที่บิ่นใช้ทำอาวุธไม่ได้เอาไว้ทำมาหากินเท่านั้น
และยังอาจเป็นไปได้ด้วยว่า
ถ้าพระเจ้าฝางอุดมสินกับพระมเหสีของพระองค์จะปลงพระชนม์ชีพด้วยการกระโดดลงบ่อน้ำซาววาจริง
ทั้งสองพระองค์คงตัดสินพระทัยทำเช่นนั้นเพราะไม่ต้องการถูกจับเป็นเชลยไปคุมขังไว้ในพม่าจนทิวงคตมากกว่า
เพราะถึงแม้ว่าพระเจ้าฝาง
กับพระนางสามผิวจะไม่ทรงมีพระชนม์ชีพยืนยาวต่อมา
จนได้ล่วงรู้พระชะตากรรมของพระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมือง ในฐานู้แพ้สงคราม
แต่ทั้งสองพระองค์
ก็คงจะทรงได้เห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วว่า
ผู้คิดกระด้างกระเดื่องต่อพม่าจะมีอันเป็นไปอย่างไร
นั่นก็คือสิ่งที่เกิดกับ พระเจ้าเมกุฎสุทธิวงศ์
แห่งเชียงใหม่ ในสมัยพระเจ้าบุเรงนองนั่นเอง
แต่ทั้งสองพระองค์ ทรงมีพระชะตากรรมในท้ายที่สุดเช่นนั้นจริงหรือ?
ตำนานพื้นบ้านอีกกระแสหนึ่งที่ว่ากันว่า
ทั้งสองพระองค์ทรงหลบหนีไปได้นั้น แท้จริงเป็นเพียงเรื่องเล่าขานอันเลื่อนลอย
หรือเก็บรักษาเรื่องจริง (ที่ถูกต้องยิ่งกว่าความเชื่อของคนส่วนใหญ่) เอาไว้กันแน่?
ศาชพะเจ้าฝาง พระนางสามผิว ที่เก็บรักษาพระรูปองค์เดิม ใกล้พระราชานุสาวรีย์ บันทึกภาพโดย อ.ดนัย นาควัชระ |
เพราะบทสรุปอันแท้จริงของประเด็นนี้
อาจจะอยู่ในหนังสือชื่อ ประวัติเมืองฝาง ที่ อ.อินทร์ศวร แย้มแสง
ได้เรียบเรียงไว้นั่นเอง
อ.
อินทร์ศวรเป็นผู้ที่ได้ศึกษาค้นคว้าตำนานเมืองฝางไว้อย่างละเอียดรอบด้าน
และลุ่มลึกที่สุดเท่าที่เรามีกันอยู่ในปัจจุบัน ท่านได้รวบรวมประวัติเมืองฝางขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อพ.ศ.๒๕๒๓
และมีการปรับปรุงแก้ไขหลายครั้งในเวลาที่ผ่านมา
จนสำเร็จเป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์เมื่อพ.ศ.๒๕๕๑
หนังสือดังกล่าว
ได้เปิดเผยข้อมูลจากบันทึกของชาวตะวันตก ที่นักวิชาการไทยเรามองข้ามกันมานาน
และเป็นข้อมูลซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีที่มีอยู่แล้ว
ซึ่งทำให้ตำนานอันศักดิ์สิทธิ์นี้
ก้าวพ้นจากความคลุมเครือ สู่ความเป็นจริงที่ชัดเจน
และในขณะเดียวกัน
ก็พลอยทำให้ความเชื่อของคนส่วนใหญ่ เกี่ยวแก่ตำนานสองกษัตริย์และบ่อน้ำซาววา
ต้องพบกับคำถามที่ท้าทายอย่างยิ่ง
ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
สำหรับพญาฝางที่ทำการแข็งเมืองตั้งเมืองฝางอิสระไม่ยอมขึ้นกับเมืองเชียงแสนและพระเจ้าสุทโธธรรมราชานั้น
ข้าพเจ้าได้พบชื่อในหนังสือ A Thousand Miles on an
Elephant in The Shanstates หน้า ๓๕๓ บันทึกของ มร.ฮอลท์ เอส
ฮอลเล็ต ว่าพญาฝางชื่อ พญาพิมมะสาร พร้อมด้วยภริยาชื่อรุ้งแสงและคนสนิทชายหญิงอีกสองคนถูกจับได้ตอนเมืองฝางแตกในเวลากลางคืนและถูกมัดไว้จะนำตัวไปอังวะ
แต่พอรุ่งเช้ากลับหายไป ที่มีคนพบคนตายในบ่อน้ำนั้นจริง
แต่จะใช่พญาฝางกับชายาหรือไม่เขาไม่กล่าวถึง
ฝรั่งที่บันทึกว่าน่าจะเลียนแบบเรื่องเจ้าฟ้ามงโกลยูนนานเมื่อทัพจักรพรรดิจีน
ฮุงหวู แห่งราชวงศ์ชิงตียูนนานแตก
เจ้าฟ้ามงโกลยูนนานเลยกระโดดน้ำทะเลสาบใกล้เมืองตาย
เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับเรื่องเจ้าหญิงมะลิกาลอบเอาทหารมาช่วยเหลือบิดามารดาหนีไปได้
นั่นหมายความว่า
ถ้าบันทึกของชาวตะวันตกนี้ได้มาจากแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงที่สุด
พระเจ้าฝางอุดมสิน ก็คือ พญาพิมมะสาร
และพระนางสามผิว
พระชายาของพระองค์ก็ทรงมีพระนามจริงว่า พระนางรุ้งแสง นั่นเอง
ซึ่ง อ.อินทร์ศวรได้ยืนยันถึงความมีตัวตนจริงของเรื่องนี้
โดยกล่าวไว้ในหนังสือเล่มเดียวกันว่า ทั้งสองพระองค์ทรงสร้างพระพุทธรูปขึ้นเมื่อ
พ.ศ.๒๑๓๘ ซึ่งมีจารึกที่ฐานยืนยันอย่างชัดเจน
และเมื่อนครฝางถูกตีแตก
ทั้งสองพระองค์ก็ทรงถูกพันธนาการไว้เช่นเดียวกับกษัตริย์ที่แพ้สงครามอื่นๆ
ในสมัยนั้นพึงถูกกระทำ
และพระเจ้าสุทโธธรรมราชาก็ทรงมีพระราชดำริจะนำทั้งสองพระองค์ไปกรุงรัตนปุระอังวะ
เหมือนเช่นที่ทรงกระทำกับพระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมืองในเวลาต่อมานั่นแหละครับ
แต่การที่ทั้งสองพระองค์ทรงหายสาบสูญไปในวันรุ่งขึ้นนั้น
ทำให้เกิดคำถามมากมาย ที่บางคำถามก็เชื่อมโยงกับบ่อน้ำซาววาได้ แต่บางคำถามก็ไม่
เป็นต้นว่า แท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับกษัตริย์ทั้งสอง?
พระนางมะลิกา พระราชธิดา
ผู้ครองเวียงแม่อายในขณะนั้น สามารถนำทหารมาช่วยทั้งสองพระองค์เสด็จหนีไปได้สำเร็จ
ดังที่ตำนานพื้นบ้านบางกระแสกล่าวไว้ ใช่หรือไม่?
หรือว่า ทั้งสองพระองค์อาจทรงได้รับการช่วยเหลือจากข้าราชบริพารที่ถูกจับไปด้วยกัน
ให้หลบหนี
แต่เนื่องจากเมืองฝางถูกพม่ายึดครอง
มีทหารพม่าเต็มไปหมดภายในตัวเมือง จนไม่เห็นหนทางที่จะพากันหนีรอดไปได้
รวมทั้งความเสียพระทัยที่ไม่อาจจะทรงนำพาบ้านเมืองของพระองค์ให้รอดพ้นภัยสงคราม
ต้องทอดพระเนตรไพร่ฟ้าประชาชนพากันได้รับทุกข์ยาก
ทำให้ทั้งสองพระองค์ตัดสินพระทัยพากันไปกระโดดลงบ่อน้ำซาววาสิ้นพระชนม์ตามตำนาน?
ภายในบ่อน้ำซาววา บันทึกภาพโดย อ.ดนัย นาควัชระ |
และในส่วนที่เกี่ยวกับพระนางสามผิว
หรือพระนางรุ้งแสงนั้น เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์จริงในปี พ.ศ.๒๓๐๗ ที่ว่า
ในปีจุลศักราช ๑๑๒๖ ล้อโป่ซุก แม่ทัพพม่า
จึงเอานายขนานกาวิล กับนายดวงทิพ บุตรเจ้าฟ้าชายแก้ว คุมพลชาวเมืองนครลำปาง
เข้าสมทบกับกองทัพพม่า ยกไปตีเมืองเวียงจันทร์ ได้เมืองเวียงจันทร์
และธิดาเจ้าเวียงจันทร์ ชื่อ นางสามผิว ส่งไปถวายพระเจ้าอังวะ
ก็ทำให้มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันว่า
ผู้เล่าตำนานพระนางสามผิว อาจจะ รวมเอาเรื่องของพระนางสามผิว
ธิดาเจ้าเมืองเวียงจันทน์ที่ถูกส่งตัวไปพม่าในช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ ๒
เข้าเป็นเรื่องเดียวกับพระนางรุ้งแสง พระมเหสีของพญาพิมมะสาร
ซึ่งพระนามอันแท้จริงของพระนาง
ได้สาบสูญไปจากตำนานเมืองฝางที่คนฝางรุ่นหลังสืบทอดต่อๆ กันมา
เพราะเหตุนั้น
พระนางสามผิวพระองค์จริงในสงครามฝาง-พม่า พ.ศ.๒๑๗๒-๗๕ หรือ พระนางรุ้งแสง
จึงไม่น่าจะใช่ธิดาของเจ้าเมืองล้านช้าง และไม่น่าจะทรงมี “สามผิว”
พระนางจะทรงมีพระลักษณะแท้จริงเป็นอย่างไรนั้น
เราไม่มีทางทราบกันได้เลยครับ
เราจะพูดได้ในเวลานี้ก็แต่เพียงว่า
ตำนานที่กล่าวถึงพระฉวีที่แปรเปลี่ยนได้ ๓ เวลาของพระนางนั้น
น่าจะเป็นการขยายความจากเหตุการณ์จริงในยุคหลังที่เข้าไปปะปนเท่านั้น
แน่นอนที่ว่า ข้อสันนิษฐานทั้งหมดที่กล่าวมานี้
ย่อมมีผลอย่างยิ่งต่อความเชื่อ และความผูกพันของคนส่วนใหญ่ในเมืองฝาง
ที่มีต่อพระเจ้าฝางอุดมสิน และพระนางสามผิว
จนร่วมแรงร่วมใจกันสร้างพระราชานุสาวรีย์ถวายอย่างสวยงามในปัจจุบัน
แต่ผมก็ยังคงเห็นว่า
ไม่ว่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม
พระจริยาวัตรอันงดงามของสองกษัตริย์
ผู้ทรงเคยทำนุบำรุงเมืองฝางจนเจริญรุ่งเรือง
และทรงต่อสู้กับกองทัพอันเข้มแข็งของพม่าได้ยาวนานถึง ๓ ปี จนทำให้เมืองเล็กๆ
นี้มีตัวตนอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์
รวมทั้งเรื่องเล่าเกี่ยวแก่พระนางสามผิว-เจ้าแม่รุ้งแสง
ผู้ทรงมีพระสิริโฉมงดงาม ที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ
และความศรัทธามากมายของผู้คนหลายชั่วอายุที่เคารพรักพระนาง
ก็เพียงพอแล้วนะครับ
ที่จะทำให้ชาวอำเภอฝางสร้างพระราชานุสาวรีย์ถวายพระนางและพระสวามี เพื่อกราบไหว้บูชาในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองฝาง
ซึ่งด้วยทิพยภาวะ
แห่งความเป็นเทพบรรพชนผู้ศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่ต้องการยืนยัน
หรือการพิสูจน์ที่เป็นวิทยาศาสตร์
การกระทำเช่นนั้น ต้องการหลักฐานเป็นอันมาก
และต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายสิบปี หรืออาจเป็นร้อยปี เพียงเพื่อให้เราเข้าใกล้พระนางเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
แต่การสัมผัสและเข้าถึงทิพยบารมีแห่งพระนางด้วยใจนั้น
สามารถที่จะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น และนำมาซึ่งผลที่ดีงามต่อชีวิตของเรา
อย่างที่วิชาประวัติศาสตร์ ไม่อาจจะทำได้
……………………………
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
แทบไม่น่าเชื่อ ว่าแค่ไม่กี่ร้อยปี ก็เอาสารพัดตำนานมาปนกันยุ่งแล้ว
ReplyDeleteฝรั่งพื้นเมือง ก็มีแบบนี้นะครับ ระยะเวลาแค่สองสามร้อยปี ก็เล่ากันไปคนละทางสองทาง สับสนปนเปไปหมด
Deleteถ้าไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยืนยัน ก็แทบไม่ต้องค้นหาความจริงกันเลย