เป็นโบราณสถานตั้งอยู่ในบริเวณชุมชนวัดไก่แก้ว
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโรงเรียนจักรคำคณาทร เขตเทศบาลเมืองลำพูน ห่างจากตัวเมืองประมาณ
๒ กิโลเมตร เชื่อกันว่าเป็นที่เก็บรักษากระดูกช้างผู้ก่ำงาเขียว
ซึ่งเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองของนครหริภุญไชยสมัยพระนางจามเทวี
กู่ช้างเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแปลก
ฐานเป็นฐานหน้ากระดานกลม ๓ ชั้นก่อด้วยอิฐสอดิน ชั้นนอกสอปูน
ฐานชั้นบนสุดเป็นฐานบัวรองรับเจดีย์ทรงกระบอกปลายสอบเข้าหากัน
ก่อด้วยอิฐธรรมดาขนาดเล็ก
รูปทรงที่แปลกตานี้เป็นแบบอย่างอันเดียวกันกับ
เจดีย์บอบอจี ของรัฐศรีเกษตร ซึ่งอยู่ในสหภาพเมียนมาร์ในปัจจุบัน
และกำหนดอายุได้ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓
เพียงแต่ว่าเจดีย์กู่ช้างมีทรวดทรงที่เพรียวกว่าเจดีย์บอบอจีเท่านั้น
และทำให้คิดว่ายอดของเจดีย์กู่ช้างเดิมจึงน่าจะเป็นทรงกรวยคว่ำแบบเจดีย์บอบอจีด้วย
ภาพจาก http://www.thapra.lib.su.ac.th |
และแม้เจดีย์องค์นี้จะได้ผ่านการบูรณะมาบ้าง
แต่ผู้บูรณะชั้นหลังสุดก็มิได้ดัดแปลงแก้ไขสิ่งใด
แม้แต่ส่วนยอดเดิมที่หักไปก็เพียงแต่ทำหลังคาไม้มุงกระเบื้องดินเผาปิดไว้แทนเท่านั้น
ด้วยเหตุที่ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของเจดีย์องค์นี้
สามารถเปรียบเทียบกันได้กับเจดีย์ในพม่าที่มีอายุอยู่ร่วมสมัยพระนางจามเทวีดังกล่าว
เจดีย์องค์นี้จึงได้รับการสันนิษฐานว่า
อาจจะเป็นโบราณสถานที่สามารถยืนยันความเก่าแก่ของนครหริภุญไชยถึงช่วงพุทธศตวรรษที่
๑๒-๑๓ ตรงตามตำนานกล่าวไว้ทุกประการ
แต่นักโบราณคดีของกรมศิลปากรส่วนมาก
ไม่ยอมรับข้อสันนิษฐานนี้ครับ
พวกเขาอธิบายว่า
การที่กู่ช้างมีรูปทรงเหมือนเจดีย์บอบอคยี
ก็เพราะเป็นการจำลองรูปแบบของเจดีย์ดังกล่าวมาทำแบบย้อนยุคในสมัยล้านนาเท่านั้นเอง
โดยยกตัวอย่างว่า ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช
ผู้ครองนครเชียงใหม่ในพ.ศ.๑๙๘๔-๒๐๓๐ นั้น
มีความนิยมในการนำรูปทรงเจดีย์แปลกๆ จากต่างถิ่นมาสร้าง เช่น
นำเอารูปทรงของเจดีย์พุทธคยาในอินเดียมาสร้างที่วัดเจดีย์เจ็ดยอด จ.เชียงใหม่
เป็นต้น
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงอาจเป็นไปได้ว่า
กู่ช้างแห่งนี้ก็คงสร้างในสมัยพระเจ้าติโลกราชเช่นกัน
โดยเลือกเอารูปทรงของเจดีย์บอบอจีจากรัฐศรีเกษตรในพม่ามาเป็นต้นแบบ
เพราะจากการขุดแต่งบูรณะกู่ช้างแห่งนี้เมื่อพ.ศ.๒๕๒๓-๒๕๒๖
ได้พบพระพุทธรูปสำริดสมัยล้านนา แผ่นอิฐจารึกตัวอักษรฝักขาม ซึ่งนิยมในช่วงพุทธศตวรรษที่
๒๑-๒๒ รวมทั้งลักษณะของการก่ออิฐทั้งหมดก็เป็นแบบแผนของเจดีย์ล้านนา
ไม่เก่าถึงสมัยหริภุญไชย
คำอธิบายนี้คงง่ายแก่การยอมรับ
ถ้าหากว่าจะไม่มีการท้วงติงด้วยเหตุผลที่น่าฟังมากกว่าจาก ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ
ซึ่งกล่าวไว้ในเอกสารด้านวิชาการลำดับที่ ๔ พ.ศ.๒๕๔๗
ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย ว่า
“กรณีที่พระเจ้าติโลกราชนำเอารูปทรงของพุทธคยามาจำลองไว้ที่วัดเจดีย์เจ็ดยอดนั้นต้องถือว่าเป็นกรณีพิเศษไม่ใช่พระราชนิยม
เนื่องจากวัดแห่งนี้มีหน้าที่ใช้เป็นสถานที่สำหรับกระทำอัฏฐมหาสังคายนาพระไตรปิฎก
(ครั้งแรกของเมืองไทย-ครั้งที่ ๘ ของโลก) จึงจำเป็นต้องสร้างวัดให้ดูเป็นสากล
การหยิบยืมเจดีย์พุทธคยามาก็เพื่อใช้เป็นเครื่องรำลึกถึงการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์
อันสอดคล้องกับประโยชน์ใช้สอย
ในขณะที่เจดีย์กู่ช้างนั้นตั้งอยู่ในลำพูนซึ่งไม่ใช่ศูนย์อำนาจ
และไม่น่าจะมีบทบาทมากพอที่พระเจ้าติโลกราชจะมาทรงใส่พระทัยคัดเลือกแบบอย่างให้
อีกทั้งรูปทรงของเจดีย์พยู (บอบอคยี)
นั้นก็แทบไม่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องอันใดกับลำพูน ไม่มีที่มาที่ไป
อายุอานามก็ห่างไกลจนไร้คำอธิบาย
จึงขอเสนอมุมมองว่า
เป็นไปได้ไหมว่าสถูปองค์ที่เราเห็นแม้จะมีการสร้างใหม่ในช่วงสมัยล้านนา
(อาจเป็นสมัยพระเจ้าติโลกราชจริง
เพราะสมัยนี้มีนโยบายให้บูรณะปฏิสังขรณ์เจดีย์องค์เก่าๆ ทั่วราชอาณาจักร)
แต่ช่างสมัยนั้นได้สร้างขึ้นโดยใช้รูปทรงของเจดีย์องค์เดิมที่เคยพบเห็นมาแต่ก่อน
ต่อมาได้พังทลายลง และอย่าลืมว่ายังมีหลักฐานสำคัญอีกชิ้นที่นักโบราณคดีขุดค้นได้ในฐานรากของกู่ช้าง
นั่นคือพระพิมพ์สกุลช่างหริภุญไชย ๓ องค์
แม้นักโบราณคดีจะพยายามอธิบายว่าอาจเป็นสิ่งของที่นำมาบรรจุภายหลังในช่วงล้านนา
พร้อมกับการสร้างเจดีย์ก็ตาม เนื่องจากพระพิมพ์เป็นสิ่งที่เคลื่อนย้ายได้”
ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ครับ ในการพิมพ์ครั้งที่ ๔ และ ๕ ของหนังสือ
จอมนางหริภุญไชย จึงยังคงยืนยันข้อสมมุติฐานตามที่มีก่อนหน้านี้ว่า...
กู่ช้าง
อาจจะเป็นโบราณสถานเพียงแห่งเดียวในจังหวัดลำพูนปัจจุบันที่เป็นไปได้ว่าสร้างทันรัชสมัยพระนางจามเทวี
และยังสามารถรักษารูปทรงเดิมไว้ได้ตลอดระยะเวลากว่า ๑,๓๐๐ ปีที่ผ่านมาด้วย
ภาพจาก http://uauction.uamulet.com |
ชาวลำพูนเชื่อกันมานานแล้วว่า
ซากทั้งหมดของช้างผู้ก่ำงาเขียวบรรจุไว้ที่นี่
แม้ในคัมภีร์จามเทวีวงศ์จะระบุว่าได้นำงาไปบรรจุไว้ ณ สุวรรณจังโกฏิเจดีย์ก็ตาม
คนรุ่นเก่าในลำพูนก็ยังเล่ากันว่าเหตุที่รูปทรงของเจดีย์เป็นทรงกระบอกนั้น
เพราะต้องบรรจุซากช้างผู้ก่ำงาเขียวในท่านั่งชูงวงขึ้นบนอากาศ
ไม่สามารถบรรจุในท่านอนได้ ด้วยว่าเป็นช้างที่มีอิทธิฤทธิ์
จะฝังซากให้หันงาไปทางทิศใดผู้คนที่นั้นจะพากันล้มตายหมด
แต่ทว่า
ในการขุดแต่งบูรณะของกรมศิลปากรไม่มีรายงานการพบซากซ้างดังกล่าว คนท้องถิ่นบางท่านจึงเสนอว่า
อาจจะฝังไว้เฉพาะงาโดยฝังให้ชี้ขึ้นฟ้าก็เป็นได้
เพราะกรมศิลปากรมิได้ขุดเข้าไปถึงใจกลางองค์เจดีย์
ถ้าจะถามความเห็นส่วนตัวของผม
ผมไม่เชื่อนะครับว่ากู่ช้างจะสร้างขึ้นเพื่อฝังซากช้างคู่บ้านคู่เมือง
ถึงแม้ว่าพญาช้างนั้นจะมีอิทธิฤทธิ์ ปกบ้านป้องเมืองให้พ้นจากการรุกรานของอริราชศัตรูเป็นที่ประจักษ์ก็ตาม
เนื่องจากการสร้างสถูปเจดีย์ของคนโบราณ
เขาสร้างเพื่อบรรจุพระธาตุ หรือไม่ก็พระอัฐิของอดีตกษัตริย์ที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปเท่านั้นครับ
ถ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ทำแค่เจดีย์องค์เล็กๆ
เหมือนเจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่ที่อยุธยา ส่วนคนธรรมดาก็หมดสิทธิ์ ยิ่งถ้าเป็นช้าง
ถึงจะมีอิทธิฤทธิ์เพียงใด
คนโบราณเขาก็มีวิธีฝังโดยไม่ก่อเป็นสถูปเจดีย์ครอบไว้ครับ
ภาพจาก http://www.klongdigital.com |
ส่วนเจดีย์อีกองค์ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน
และมีชื่อเสียงคู่กันกับกู่ช้างก็คือ กู่ม้า
เชื่อกันว่าเป็นที่รักษาซากม้าทรงพระโอรสพระนางจามเทวี
เป็นเจดีย์ทรงระฆังก่ออิฐสอดินและฉาบปูนด้านนอก ด้านบนเหลือเพียงบัลลังก์ ยอดหักหายไป
รูปแบบทางศิลปกรรมเช่นว่านี้ใหม่กว่ากู่ช้าง
อาจจะเป็นเจดีย์ของวัดโบราณที่สิ้นสภาพไปแล้วซึ่งสร้างในชั้นหลังก็ได้
………………………
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
รูปทรงเจดีย์แปลกมากนะคะ ดูโบราณมากจริงๆ
ReplyDeleteถ้าที่เห็นนี้เป็นรูปทรงเดิมจริงๆ กู่ช้างก็จะเป็นเจดีย์ทวารวดีแบบหนึ่งที่เหลือให้เห็นครบองค์นะครับ
Deleteไม่แน่นะคะอาจารย์ ว่าที่รูปทรงสวยกว่าเจดีย์บอบอจี อาจจะเป็นเพราะมาซ่อมใหม่กันในสมัยพระเจ้าติโลกราชก็ได้ เดิมอาจจะเหมือนบอบอจีเปี๊ยบเลยก็ได้นะคะ
ReplyDeleteเป็นไปได้ครับ เพราะรัฐศรีเกษตรเป็นรัฐร่วมสมัยกับหริภุญไชย ฝีมือช่างก็คงไม่ทิ้งห่างกันมาก
Deleteมีเรื่องเล่าค่ะอาจารย์ ว่ามีคนเคยเห็นรอยช้างเดินอยู่แถวนี้ (ในสมัยก่อน) ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไม่มีช้างซักตัว
ReplyDeleteผมก็ได้ยินมาเหมือนกันครับ ดูเหมือนหนังสือพิมพ์สมัยนั้นจะถ่ายภาพไว้ด้วย แต่การนำช้างไปเดินแถวนั้นตอนกลางคืนโดยที่ไม่ให้ใครรู้เห็นในยุคที่เป็นข่าวนั้น ทำได้สบายครับ เพราะพื้นที่นั้นยังมีคนอาศัยอยู่ไม่มาก ไม่หนาแน่นอย่างในปัจจุบัน
Deleteมีกู่แมวด้วยคะอาจารย์
ReplyDeleteผมก็ไม่ได้ไปดูให้เห็นกับตาสักที ติดใจตั้งแต่ชื่อแล้วครับ ว่าเป็นแมวที่พระนางจามเทวีทรงเลี้ยง
Delete