พระเจดีย์องค์นี้ก่อด้วยศิลาแลงรูปทรงสี่เหลี่ยมทั้งองค์
มีชั้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ๕ ชั้น แต่ละชั้นทำเป็นซุ้มด้านละ
๓ ซุ้ม จึงมีพระพุทธรูปภายในซุ้มรวม ๖๐ องค์ องค์พระพุทธรูปทรงประทับยืนทำด้วยปูนปั้น
แต่ละซุ้มมีลายปูนปั้นประดับ
ที่ผ่านมา เรายังไม่พบหลักฐานว่าเจดีย์กู่กุดสร้างในช่วงเวลาใด
แต่จากรูปแบบศิลปกรรมของเจดีย์องค์นี้ บางท่านจัดให้อยู่ในช่วงทวารวดีตอนปลาย
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศิลปะแบบละโว้-หริภุญไชย และลักษณะลวดลายของซุ้มนั้นจัดอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่
๑๖
ส่วนจารึกภาษามอญหลักที่ ๒ ซึ่งพบที่วัดจามเทวีนี้เองกล่าวว่า
เจดีย์องค์นี้ได้รับการบูรณะโดยพญาสรรพสิทธิ์เมื่อพ.ศ.๑๗๖๑
ภายหลังทรุดโทรมลงเพราะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว
บางท่านชี้ว่า ปัญหาความเก่าแก่ของเจดีย์กู่กุด
อาจพิจารณาได้จากรูปทรงหรือรูปแบบศิลปกรรมขององค์เจดีย์เอง ซึ่งดูคล้ายกับ สัตตมหาปราสาท
ที่นครโปลนนารุวะ ศรีลังกา ซึ่งศิลปกรรมที่นั่นมีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่
๑๖-๑๘
ภาพจาก http://tourbkk.com |
และไม่มีสถูปเจดีย์ในศิลปะอินเดียหรือลังกาองค์ใดอีกเลยที่มีรูปทรงเช่นนี้
แล้วจะเก่าไปกว่าสัตตมหาปราสาทแห่งโปลนนารุวะ
แต่ปัญหาก็คือ ความจริงแล้ว
สัตตมหาปราสาทที่โปลนนารุวะ อาจไม่ใช่ต้นแบบของเจดีย์กู่กุดก็ได้
เพราะศิลปะโปลนนารุวะนั้น
มีอายุตั้งแต่ราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๖ ก็จริง
แต่เฉพาะสัตตมหาปราสาทนั้น นักวิชาการสมัยปัจจุบันหลายท่านกำหนดอายุจากกรรมวิธีการก่อสร้าง
และประติมากรรมในซุ้มของเจดีย์ไว้ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ร่วมสมัยกับช่วงที่พญาสรรพสิทธิ์โปรดฯ
ให้บูรณะเจดีย์กู่กุดที่เสียหายจากแผ่นดินไหวด้วยซ้ำไปครับ
ซึ่งถ้าการกำหนดอายุดังกล่าวถูกต้อง เราก็เลิกคิดกันได้เลยว่าสัตตมหาปราสาทเป็นต้นแบบของเจดีย์กู่กุดในลำพูน
แถมยังมีการสันนิษฐานกันอีกด้วยว่า ศรีลังกาอาจได้รับอิทธิพลศิลปะทางสถาปัตยกรรมแบบนี้ไปจากเมืองไทยก็เป็นได้
เพราะสัตตมหาปราสาทแห่งนี้ เป็นอาคารที่มีรูปทรงแปลกไปจากโบราณสถานอื่นในโปลนนารุวะ
และมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นในศรีลังกา แต่ในเมืองไทยมีเจดีย์เหลี่ยมแบบนี้อยู่ด้วยกันหลายแห่ง
ดังจะกล่าวต่อไปข้างหน้า
ถ้าเจดีย์รูปแบบนี้เป็นที่น่าประทับใจของพระสมณฑูตไทยที่ไปลังกา
จนถึงกับมีการนำมาจำลองแบบไว้ที่ลำพูน เจดีย์เช่นนี้ก็ควรจะมีมากทั่วไปในลังกา
ไม่ใช่มีอยู่แค่องค์เดียว จริงไหมครับ?
นี่กลับกลายเป็นว่า
ในภาคเหนือของไทยกลับมีอยู่ด้วยกันหลายองค์ ที่อย่างน้อย ๒
องค์สร้างไว้ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ขณะที่ลังกามีเพียงองค์เดียวซึ่งสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ด้วยเหตุนั้น
ข้อสันนิษฐานความเก่าแก่ของเจดีย์กู่กุดทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้
จึงมีอยู่เพียงว่า เรายังไม่รู้ว่ารูปทรงของเจดีย์กู่กุดนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร
จะเป็นความคิดริเริ่มของช่างหริภุญไชยหรือไม่ เราทราบกันเพียงว่าจากลวดลายของซุ้มพระที่เราเห็นด้วยตานั้น
จัดอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖
ซึ่งถ้าเจดีย์กู่กุดมีอายุเก่าแก่เพียงเท่านั้น
ก็ไม่มีทางที่จะเป็น สุวรรณจังโกฏิเจดีย์
หรือพระสถูปบรรจุพระอัฐิพระนางจามเทวีได้
เว้นเสียแต่ว่า การระบุพุทธศักราชที่พระนางเสด็จขึ้นครองราชย์จากตำนานต่างๆ
จะผิดพลาดหมด และพระนางจะทรงเสวยราชย์จริงเมื่อพ.ศ.๑๕๐๐ เป็นต้นมา
แต่หลักฐานทางโบราณคดีอย่างอื่นในเขตเมืองลำพูนที่เก่ากว่านั้นก็ค้านอยู่นะครับ
โดยเฉพาะโบราณวัตถุที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมทวารวดีทางภาคกลาง ซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชยและกำหนดอายุได้ถึงพุทธศตวรรษที่
๑๓
โบราณวัตถุพวกนี้ ถ้าไม่ถูกนำไปยังหริภุญไชยโดยคณะของพระนางจามเทวี
ก็ยากที่จะเป็นบุคคลอื่นซึ่งไม่มีตำนานใดๆ รองรับเลยนะครับ
อีกทั้งเรายังไม่ควรลืมว่า มีจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงรัฐแห่งกษัตรีย์
หรือ หนี่หวังกว๋อ มาตั้งแต่พ.ศ.๑๔๐๖ ซึ่งหมายความว่า
พระนางจามเทวีทรงได้ครองรัฐหริภุญไชยมาก่อนหน้านั้น
รูปแบบทางศิลปกรรมของเจดีย์กู่กุด
เก่าไม่ทันยุคของพระนางจามเทวีเช่นนี้ แล้วเหตุใด กรมศิลปากรจึงได้ให้ข้อมูลในเอกสารต่างๆ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาว่า เจดีย์องค์นี้คือสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ ที่พญามหันตยศทรงสร้างเพื่อบรรจุพระอัฐิพระนางจามเทวีตามตำนานมูลศาสนา?
เราคงต้องย้อนไปดูข้อมูลใน ตำนานมูลศาสนา ซึ่งได้ระบุว่า
“ครั้นเสร็จการถวายพระเพลิงแล้ว ก็แห่พระอัฐิพระนางเลียบมาหนตะวันตกเวียง
ก่อพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิไว้ภายใต้เวียงหริภุญไชย
พระเจดีย์องค์นั้นจึงได้เรียกว่าสุวรรณเจดีย์จังโกฏิและบรรจุยังเครื่องประดับของพระนางไว้ในที่นั้นด้วย
เป็นต้นว่า ซ้องแลหวีรองไว้ภายใต้พระอัฐิ
พร้อมทั้งงาพระยาช้างมงคลที่ล้มไปแล้วนั้น พระยามหันตยศพระองค์เอางาพระยาช้างมงคลทั้ง
๒ ข้างมาบรรจุไว้ภายใต้รองเครื่องประดับองค์พระราชมารดานั้นด้วย”
และ จามเทวีวงศ์ ซึ่งกล่าวว่า
“แล้วจึงเชิญพระธาตุนั้นมาโดยปจฉิมทิศาภาคแห่งพระนคร...
แล้วให้กระทำสถานที่หนึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิธาตุอันเป็นที่รมณียฐานแลให้กระทำเป็นเจดีย์มีพระพุทธรูปอยู่ในเบื้องบนหุ้มด้วยแผ่นทองคำ
เพราะเหตุนั้นพระเจดีย์นั้นจึงได้มีนามว่าสุวรรณจังโกฏิเจดีย์”
จะเห็นว่า ทั้งสองตำนานให้ข้อมูลสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ที่ตรงกับเจดีย์กู่กุดทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้ง หรือ “เจดีย์มีพระพุทธรูปอยู่ในเบื้องบน” อันเป็นส่วนประกอบที่เด่นชัดของเจดีย์ดังกล่าว
ผมคิดว่า คำตอบอาจจะเป็นข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้นะครับ
๑) แม้ว่าเจดีย์กู่กุดอาจจะสร้างขึ้นเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่
๑๖ (ซึ่งผมขอเน้นว่า-ยังไม่ถือเป็นข้อยุตินะครับ) แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงพุทธศตวรรษที่
๒๐-๒๑ ซึ่งมีการแต่งตำนานมูลศาสนาและจามเทวีวงศ์นั้น ผู้คนก็คงไม่เห็นว่าจะมีเจดีย์องค์ใดในล้านนาที่เก่าไปกว่าเจดีย์กู่กุดหรอกครับ
ดังนั้น เมื่อพระพุทธญาณเถระ และพระโพธิรังษีเริ่มแต่งตำนานมูลศาสนาและจามเทวีวงศ์
พระเถระทั้ง ๒ รูปคงได้รับคำบอกเล่ามาก่อนแล้วว่า
เจดีย์กู่กุดคือสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ หรือไม่ท่านก็เพียงแต่นำเอาเจดีย์กู่กุดนั้นมาอ้างเป็นสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ที่บรรจุพระอัฐิพระนางจามเทวี
กล่าวคือ เป็นการผูกตำนานให้มีความสอดคล้องต้องกัน
กับหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในสมัยของท่าน และตามข้อมูลที่ท่านมี โดยที่เนื้อหาของตำนานเดิมจริงๆ
อาจไม่มีรายละเอียดของสุวรรณจังโกฏิเจดีย์อยู่เลยก็ได้
๒) หรือไม่,
พระเถราจารย์ผู้แต่งตำนานมูลศาสนาและจามเทวีวงศ์ ไม่ใช่แค่ “เชื่อ” หรือ “อนุมาน”
เอาว่าเจดีย์กู่กุดคือสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ ท่านเขียนไว้อย่างนั้นเพราะท่าน “รู้”
ว่ามันเป็นความจริง !?!
ผมมีความคิดอย่างนี้ เพราะในการไปบรรยายในงานเสวนาปริทัศน์เรื่อง
“จามเทวี : จอมนางหริภุญไชย” ณ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย จ.ลำพูน เมื่อพ.ศ.๒๕๔๗ ดร.ฮันส์ เพนธ์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ลำพูนได้ให้ข้อคิดกับผม
และทุกคนในที่นั้นว่า
...การที่พระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ กษัตริย์เชียงใหม่
ผู้บูรณะพระธาตุดอยน้อยในพ.ศ.๒๐๙๗ และโปรดฯ ให้จารึกไว้ใน ศิลาจารึกวัดดอยน้อย
อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ว่า พระนางจามเทวีทรงประดิษฐานพระธาตุไว้ในเจดีย์บนดอยน้อย
และถวายชีปะขาว ๔ คนพร้อมทั้งครอบครัวเพื่อปฏิบัติรักษาพระธาตุ แสดงให้เห็นว่า
อย่างน้อยในการรับรู้ของกษัตริย์เชียงใหม่พระองค์นั้นก็คือ
พระนางจามเทวีทรงมีตัวตนจริง
พระธาตุดอยน้อย ภาพจาก http://www.tripchiangmai.com |
ตรงนี้น่าสังเกตครับ, พระนางจามเทวีครองราชย์ในราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๓ พระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ที่บูรณะพระธาตุดอยน้อยเมื่อพุทธศตวรรษที่
๒๑ ยังทรงรู้ว่า พระนางทรงมีตัวตนจริง
และทรงสร้างเจดีย์กับถวายข้าพระไว้ที่นั่นเมื่อ ๗๐๐-๘๐๐ ปีก่อนรัชสมัยของพระองค์
(แล้วไม่ใช่แค่ทรงรู้นะครับ ยังทรงค้นหาตระกูลที่สืบสายโลหิตมาจากชีปะขาวทั้ง
๔ ตน ที่พระนางจามเทวีทรงตั้งไว้ได้ถึง ๒๒ ครัวเรือนในขณะนั้นด้วย)
แล้วจะเป็นไปไม่ได้หรือครับ ว่าพระพุทธญาณเถระ
และพระโพธิรังษี พระเถระชาวเชียงใหม่ที่มีภูมิรู้ชั้นสูงในระดับที่สามารถแต่งตำนานมูลศาสนา
และคัมภีร์จามเทวีวงศ์ในพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ จะไม่รู้ว่าเจดีย์กู่กุดคือสุวรรณจังโกฏิเจดีย์
ถ้าหากว่านั่นเป็นความจริง?
ผมว่า
เราอย่าได้ดูถูกองค์ความรู้ของนักปราชญ์สมัยก่อนเป็นอันขาดครับ
ถึงแม้ว่าจะไม่มีระบบบันทึกหรือการทำเอกสารจดหมายเหตุที่ดีเยี่ยมเท่าจีน
แต่เราไม่อาจมองข้ามการสืบทอดความรู้ด้วยมุขปาฐะของคนในภูมิภาคนี้ได้
ตัวอย่างง่ายๆ นะครับ ที่เมืองนครปฐมในอดีต
เคยใช้ชื่อว่า ทวารวดี โดยอ้างอิงกับตำนานพระกฤษณะในอินเดีย
ซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ก่อนอารยธรรมทวารวดีในเมืองไทยเสียอีก
และความนิยมพระกฤษณะในเมืองไทยก็หายไปนานหลายร้อยปีแล้ว
พร้อมกับการเสื่อมสูญไปของอารยธรรมทวารวดีนั่นเอง
แต่มุขปาฐะของคนนครปฐมแม้จนปัจจุบันนี้ ยังสืบทอดนิทานพระยากงพระยาพาน
ซึ่งเชื่อมโยงถึงตำนานพระกฤษณะของอินเดียอย่างน่าแปลกใจ
นี่ละครับ ไม่ต้องมีลายลักษณ์อักษร
แค่เล่ากันปากต่อปากก็เก็บรักษาเรื่องราวที่เก่านับพันๆ ปีได้
เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า เจดีย์องค์นี้คือสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ตามตำนานจริง
แต่รูปแบบของเจดีย์องค์เดิม อาจจะไม่มีลักษณะตามอย่างที่เราพบในปัจจุบันก็ได้
นั่นหมายความว่า ถ้าเจดีย์องค์นี้ เป็นที่บรรจุพระอัฐิของปฐมกษัตริย์แห่งหริภุญไชย
บรรดากษัตริย์ที่ครองราชย์ต่อมาในชั้นหลังก็คงจะได้ทำนุบำรุงอยู่เรื่อยๆ จนถ้าเจดีย์องค์เดิมเสื่อมโทรมเกินกว่าจะดูแลรักษาไว้ได้
หรือคนยุคนั้นมองแล้วเห็นว่าดูเล็กน้อยเกินไป
ไม่สมพระเกียรติยศแห่งองค์ปฐมกษัตริย์ ก็อาจจะสร้างใหม่หรือสร้างครอบทับเจดีย์องค์เดิม
ด้วยรูปแบบทางศิลปกรรมที่ทันสมัยที่สุดในเวลานั้น
เราจึงได้เห็นว่า ลวดลายปูนปั้นประดับซุ้มพระนั้นเป็นฝีมือช่างสมัยปลายพุทธศตวรรษที่
๑๖ คือหลังจากสมัยที่สร้างตามตำนานถึง ๓๐๐ ปีไงครับ
และพอถึงพ.ศ.๑๗๖๑
เจดีย์องค์นี้ก็ยังได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวอีก พญาสรรพสิทธิ์จึงได้โปรดฯ
ให้บูรณะเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
การบูรณะพระสถูปเจดีย์ที่มีความสำคัญนั้น ย่อมเกิดขึ้นเรื่อยๆ
นะครับ ตราบที่บ้านเมืองยังไม่ถูกทิ้งร้าง และการบูรณะแต่ละครั้งก็ย่อมมีการตกแต่งเพิ่มเติมไปตามที่คนแต่ละสมัยจะเห็นเหมาะสม
ดังนั้นเราจึงไม่อาจมองเห็นหลักฐานความเก่าแก่ของเจดีย์กู่กุดเมื่อแรกสร้าง
ด้วยการดูจากภายนอกหรอกครับ
เช่นเดียวกับกรณีของพระธาตุหริภุญไชย ซึ่งก็กล่าวกันว่าแบบอย่างเก่าสุดนั้นเป็นซุ้มมณฑป และมีการสร้างเสริมเปลี่ยนแปลงทั้งรูปทรง และรายละเอียดสืบต่อกันมาดังที่ทราบกันดีอยู่ในปัจจุบัน
โดยส่วนตัวผมนะครับ ผมค่อนข้างให้น้ำหนักกับข้อ
๒ นี้พอสมควร
เพราะเมื่อพิจารณาจากบรรดาเจดีย์รูปทรงเดียวกันนี้ ที่สร้างต่อๆ
กันมาทั้งในลำพูนและเชียงใหม่ ล้วนแต่เป็นเจดีย์ที่มีตำนานสัมพันธ์กับ “ราชนารี”
หรือเจ้านายสตรีไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทั้งสิ้น
เช่น เจดีย์ปทุมวดี ในวัดพระธาตุหริภุญชัย ก็มีตำนานกล่าวว่าสร้างโดยพระนางปทุมวดี
พระมเหสีของพญาอาทิตยราช ภายหลังจากสร้างพระบรมธาตุเสร็จได้ ๔ ปี
เจดีย์ปทุมวดี ภาพจาก http://www.noyshop.com |
เจดีย์เหลี่ยมที่เวียงกุมกาม จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีประวัติว่าพญามังรายทรงถ่ายแบบไปจากเจดีย์กู่กุดของลำพูน
ก็มีเรื่องเล่าว่าสร้างเพื่อบรรจุพระอัฐิของมเหสีพญามังราย
ซึ่งยังสับสนกันว่าคือพระองค์ใด ระหว่าง พระนางอั้วมิ่งเวียงไชย
หรือพระนางอั้วเชียงแสน ที่มีตำนานเป็นชู้กับพ่อขุนรามคำแหง กับพระนางอุษาปายโค
พระราชธิดาของกษัตริย์เมืองหงสาวดี ที่ยกให้เป็นอัครมเหสีของพญามังราย
เจดีย์เหลี่ยม เวียงกุมกาม ภาพจาก http://yourchiangmai.com |
หรือแม้แต่เจดีย์เหลี่ยมที่วัดพญาวัด จ.น่าน ซึ่งอย่างน้อยต้องสร้างขึ้นก่อนการสร้างเมืองน่านในพ.ศ.๑๙๑๑
ก็มีการอ้างอิงว่านำรูปแบบไปจากลำพูนเช่นกัน จนทางวัดเองถึงกับเล่าว่า
พระนางจามเทวีเสด็จมาสร้างไว้หลังช่วยพระเจ้าอนันตยศสร้างนครลำปางแล้ว
และในที่สุดก็มีชื่อเรียกกันในปัจจุบันนี้ว่า พระธาตุจามเทวี
พระธาตุจามเทวี วัดพญาวัด ภาพจาก http://pompernpong.net |
เป็นเพราะราชวงศ์กษัตริย์หริภุญไชย
ราชวงศ์มังราย และราชวงศ์น่าน มีความยึดมั่นร่วมกันอย่างน้อยมาตั้งแต่สมัยพญาอาทิตยราชแล้ว
ว่าเจดีย์กู่กุด คือสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ เป็นเจดีย์ของราชนารีคือ พระนางจามเทวี
ใช่หรือไม่?
ถ้าใช่ อย่างน้อยความยึดมั่นเช่นนี้ก็มีมาก่อนการแต่งตำนานมูลศาสนา
และคัมภีร์จามเทวีวงศ์ที่เชียงใหม่ในพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ นะครับ
บางทีความคลุมเครือทั้งหมดที่มีอยู่อาจกระจ่างขึ้น
ถ้าหากว่าได้มีการขุดตรวจเข้าไปในฐานรากขององค์เจดีย์ และกรมศิลปากรก็เคยคิดจะกระทำมาแล้วในปีพ.ศ.๒๕๓๖
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า
ในการขุดแต่งครั้งนั้น เกิดความเข้าใจผิดระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยชาวบ้านคิดว่าทางราชการจะขุดค้นเพื่อเอาพระพิมพ์ภายในเจดีย์กู่กุด
จึงมีการระดมพลังมวลชนเข้าต่อต้าน จนในที่สุดการขุดแต่งดังกล่าวต้องระงับไป
เรื่องของเจดีย์กู่กุด จึงยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้
ส่วนที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะหลายท่านเชื่อว่า
เจดีย์กู่กุด คือ เจดีย์มหาพล หรือเจดีย์สันมหาพล สร้างโดย พญาอาทิตยราช
ซึ่งครองแคว้นหริภุญไชยในพ.ศ.๑๖๖๓-๑๖๙๓ ความเชื่อเหล่านั้นก็ยังตอบคำถามในข้อ ๒
ไม่ได้ว่า แล้วทำไมเจดีย์เหลี่ยมองค์ต่อๆ มาที่สร้างโดยมีเจดีย์มหาพลเป็นต้นแบบ
จึงมีความสัมพันธ์กับผู้หญิง
โดยเฉพาะเจดีย์ปทุมวดี
ซึ่งสร้างโดยพระมเหสีของพญาอาทิตยราชเอง
เพราะตามตำนาน เจดีย์มหาพลนั้นสร้างโดยข้าศึกชาวละโว้
ที่ถูกจับเป็นเชลยในสมัยพญาอาทิตยราช
เพื่อเป็นการปวารณาบุญร่วมกันที่จะได้ยกเลิกสงครามอันยาวนานระหว่างหริภุญไชย-ละโว้
ที่มีมาก่อนหน้านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่ไหนทั้งสิ้นนะครับ
และเรื่องของเจดีย์มหาพล
ที่จริงก็ยังเป็นเพียงตำนาน ซึ่งมิได้มีหลักฐานจากที่อื่นใดมาสนับสนุนมากเท่ากับตำนานพระนางจามเทวีด้วยซ้ำไป
ผมเองก็มีความสงสัยอย่างนี้นะครับ...ถ้าเรื่องเจดีย์มหาพลนี้เป็นความจริง
:
-ทำไมพญาอาทิตยราชผู้สร้างวัดพระธาตุหริภุญชัย
กลับให้สร้างเจดีย์นี้ขึ้นนอกเมืองทางทิศตะวันตก
แล้วหลังจากนั้นพระมเหสีของพระองค์จึงค่อยเอาแบบมาสร้างไว้ในวัดพระธาตุหริภุญชัยหลังก่อพระธาตุเสร็จได้
๔ ปี?
-แล้วเหตุใดเจดีย์ที่เชลยศึกร่วมกันสร้าง
จึงมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่เห็นได้ชัดว่าทำขึ้นด้วยฝึมือที่สูง
มีความโดดเด่นงดงามลงตัว จนกลายเป็นแม่แบบให้เจดีย์ปทุมวดี และเจดีย์เหลี่ยมในล้านนาสร้างตามมาอีกอย่างน้อย
๓ องค์?
-แล้วเหตุใดเจดีย์ที่เชลยต่างเมืองร่วมกันสร้างเพื่อยุติสงคราม
จึงเป็นแม่แบบให้เจดีย์ของล้านนาที่ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการศึกสงครามทั้งสิ้น?
ยังมีเจดีย์ขนาดเล็กองค์หนึ่งครับ อยู่ในวัดจามเทวีเช่นกัน
และอาจมีอายุเก่าถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ อันเป็นอายุเก่าสุดที่ยอมรับกันของเจดีย์กู่กุด เจดีย์องค์นี้เราเรียกกันในปัจจุบันว่า รัตนเจดีย์
ภาพจาก http://www.oknation.net |
เจดีย์ขนาดเล็กนี้เป็นทรงแปดเหลี่ยม มีซุ้มพระพุทธรูปประทับยืนในส่วนที่เป็นเรือนธาตุรอบองค์
อันเป็นแนวคิดที่คล้ายคลึงกับเจดีย์กู่กุด
เจดีย์องค์นี้ เชื่อกันว่าอาจจะสร้างขึ้นในคราวที่มีการบูรณะเจดีย์กู่กุดในราวๆ
พุทธศวรรษที่ ๑๖ ก็ได้นะครับ
อีกทั้งยังมีนักวิชาการบางท่านเสนอว่า ชื่อ “รัตนเจดีย์” ที่เป็นของเจดีย์องค์นี้ในปัจจุบัน น่าจะเป็นชื่อเดิมของเจดีย์กู่กุดมากกว่า
เพราะนามดังกล่าวได้มาจากศิลาจารึกของพญาสรรพสิทธิ์ซึ่งขุดพบระหว่างเจดีย์ทั้งสององค์
………………………
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
อ่านแล้วรู้สึกว่า กว่าจะได้ข้อมูลโบราณซักแห่งหนึ่งพอที่จะเอาไปบรรจุไว้ในหนังสือแค่ไม่กี่บรรทัด นักวิชาการต้องตีความกันยากลำบากมากจริงๆ ค่ะ
ReplyDeleteครับ แต่ก็ไม่มีใครเห็นคุณค่าของวิชาประวัติศาสตร์-โบราณคดี เพราะวิธีสอนในโรงเรียนของเรา ทำให้เด็กเบื่อวิชาพวกนี้ครับ
Deleteสนุกมากค่ะ
ReplyDeleteขอบคุณครับ
Deleteเจดีย์เหลี่ยมแบบนี้ดูไม่น่าเบื่อดีคะ แล้วมีทำกันไว้แค่นี้เท่านั้นเหรอคะ
ReplyDeleteเท่าที่พบเต็มๆ องค์ ก็มีเท่านี้ครับ ที่จริงอาจจะมีมากกว่านี้แต่ปรักหักพัง หรือสูญหายไปก็ได้ อีกอย่างความนิยมในเจดีย์กลมมีมากกว่าครับ รูปแบบเจดีย์กลมนั้นง่ายต่อการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้มีลักษณะเฉพาะของแต่ละยุคสมัย หรือแต่ละเมือง ขณะที่เจดีย์เหลี่ยมนั้นพัฒนาได้ยาก จะสร้างกันที่ไหนยุคไหนก็ทำได้แค่นั้น ถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องแบบเวียงกุมกามไงครับ เอาศิลปะพม่าเพิ่มเข้าไป ก็ทำได้แค่นั้น
Delete