ภาพจาก http://www.taradplaza.com |
ภายหลังการพิมพ์ครั้งที่ ๑ ของหนังสือ
จอมนางหริภุญไชย ได้มีผู้อ่านจากเชียงใหม่ท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็นไปทางนิตยสารศิลปวัฒนธรรม
ใจความสรุปได้ว่า การที่ผมนำตำนานฉบับนี้เข้าไปร่วมวิเคราะห์กับตำนานฉบับที่เป็นที่ยอมรับกันเป็นทางการอยู่แล้ว
จะทำให้เกิดความสับสนและข้อถกเถียงมากมายขึ้นจากสิ่งที่ไม่มีมูลความจริง เพราะว่าตำนานฉบับนี้เป็นสิ่งที่เขียนขึ้นโดยหมอไสยศาสตร์คนทรง
คือ คุณสุทธวารี สุวรรณภาชน์
ในการพิมพ์ครั้งต่อมา ผมจึงได้พิจารณาที่จะเพิ่มการอธิบายเกี่ยวแก่ตำนานฉบับนี้
ว่าเหตุใดผมจึงนำมาใช้ในการเรียบเรียงเรื่องราวของพระนางจามเทวี ทั้งโดยภูมิหลัง และข้อควรพิจารณาว่า สิ่งใดบ้างที่น่าจะเป็นจริงหรือไม่จริง เพื่อแก้ไขความสับสนอันอาจจะเกิดมีขึ้นแก่บุคคลบางท่านดังกล่าว
ทั้งนี้จะแบ่งการพิจารณาออกได้เป็น ๒ กรณี
กรณีที่ ๑. ภูมิหลังเกี่ยวแก่ตำนานฉบับนี้
จากการกล่าวอ้างของคุณสุทธวารี สุวรรณภาชน์ ชาวจังหวัดสุโขทัย
ผู้เรียบเรียงตำนานฉบับนี้ยืนยันว่า ในระหว่างปีพ.ศ.๒๕๐๘ ขณะที่เขากำลังสืบค้นประวัติพระธาตุดอยคำ
เพื่อพิมพ์เผยแพร่หาปัจจัยบูรณะวัดพระธาตุดอยคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ คืนหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์เขาได้ฝันเห็นพระนางจามเทวีปรากฏพระองค์และมีรับสั่งว่า
ถ้าอยากทราบเรื่องที่ต้องการให้ไปหริภุญไชย
คุณสุทธวารีจึงเดินทางไปลำพูนในวันที่ ๑๕
ก.พ.ปีนั้น และเที่ยวค้นประวัติพระธาตุดอยคำหลายสถานที่แต่ยังไม่พบ จนในที่สุดได้ไปนั่งพักอยู่ที่วัดจามเทวี
เป็นเหตุให้ได้พบกับชาวพื้นเมืองผู้หนึ่ง ชื่อ หนานทา
หนานทากล่าวว่า อาจารย์ของเขาให้มารอพบบุคคลที่มีลักษณะเหมือนคุณสุทธวารี
เขาจึงตามหนานทาผู้นั้นไปตามเส้นทางเล็กๆ จากดอยติจนกระทั่งเห็นเทือกเขาขุนตาล ถึงที่นั้นต้องจอดรถและเดินเท้าต่อไป
จนเข้าไปถึงสำนักผู้เป็นอาจารย์ของหนานทา ซึ่งอยู่ในถ้ำ
คุณสุทธวารีกล่าวว่า อาจารย์ผู้นั้นคือ พ่อฤาษีแก้ว
เป็นชายชราแต่งกายอย่างฤาษีที่มีอายุถึง ๑๐๕ ปีแล้วในขณะนั้น
พ่อฤาษีแก้วบอกให้คุณสุทธวารีทำเรื่องพระประวัติพระนางจามเทวีเผยแพร่
ท่านได้ยกเอาหีบไม้ทึบใบหนึ่งออกมาจากในถ้ำ จุดธูปเทียนบูชาแล้วจึงให้หนานทาเอาขวานทุบจนพัง
ในหีบนั้นมีเอกสารโบราณทำด้วยกระดาษข่อย
เขียนด้วยตัวอักษรล้านนา ซึ่งคุณสุทธวารีอ่านไม่ออก
พ่อฤาษีแก้วบอกกับคุณสุทธวารีว่า เอกสารดังกล่าวเป็นหนึ่งในพระประวัติพระนางจามเทวีซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น ๕ ฉบับ อีก ๔ ฉบับ ได้แยกย้ายกันอยู่ตามสถานที่ต่างๆ กล่าวคือ
พ่อฤาษีแก้วบอกกับคุณสุทธวารีว่า เอกสารดังกล่าวเป็นหนึ่งในพระประวัติพระนางจามเทวีซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น ๕ ฉบับ อีก ๔ ฉบับ ได้แยกย้ายกันอยู่ตามสถานที่ต่างๆ กล่าวคือ
- ฉบับที่ ๑ พระพี่เลี้ยงปทุมวดีเป็นผู้บันทึกไว้ในลานทอง
และเก็บไว้ในคูหาถ้ำดอยคำ
- ฉบับที่ ๒ พระยาโหราธิบดินทร์เป็นผู้บันทึก
และฝังไว้ในถ้ำพระพุทธบาท ต.เมืองงาย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
- ฉบับที่ ๓ ฝังไว้ ณ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ
จ.ลำพูน อยู่ในเขตบ้านออนเหนือ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
- ฉบับที่ ๔ ฝังไว้บริเวณที่ปัจจุบันอยู่เหนือเขื่อนภูมิพล
จ.ตาก
การแปลเรียบเรียงพระประวัติพระนางจามเทวี ตามเอกสารดังกล่าวเริ่มตั้งแต่คืนนั้น
โดยหนานทาศิษย์พ่อฤาษีแก้วเป็นผู้แปล คุณสุทธวารีเป็นผู้จดบันทึก การแปลรอบแรกยุติเวลา
๕ ทุ่มของคืนนั้น พ่อฤาษีเน้นย้ำให้คุณสุทธวารีทำเรื่องนี้ถวายพระแม่เจ้า เพื่อจะได้หาเงินสร้างพระราชานุสาวรีย์
หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นจึงมีการแปลและจดบันทึกกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ
ใช้เวลา ๔ วันจึงสำเร็จ
ซึ่งเรื่องราวที่ได้มานั้นมีทั้งพระประวัติพระนางจามเทวีและประวัติพระธาตุดอยคำ
คุณสุทธวารีจึงได้คัดเฉพาะประวัติพระธาตุดอยคำไปถวายเจ้าคณะอำเภอเมือง จ.เชียงใหม่ในสมัยนั้นตามที่ตั้งใจไว้
ต่อมาพ่อฤาษีแก้วจึงได้ละสังขารในเดือนเมษายน ปีเดียวกัน
จากนั้น คุณสุทธวารีจึงได้นำบันทึกคำแปลเอกสารของพ่อฤาษีแก้ว
มาทำการเรียบเรียงพระประวัติพระนางจามเทวีในพ.ศ.๒๕๐๙ เฉพาะภาคแรก และได้มีการพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณชน เป็นเหตุให้ได้รับความสนใจกันโดยทั่วไป
แต่พระประวัติฉบับสมบูรณ์ทั้งสองภาค ตามที่มักนำมาอ้างอิงกันอย่างแพร่หลายในเวลาที่ผ่านมานั้น
ได้รวบรวมขึ้นเมื่อพ.ศ.๒๕๒๕ โดย รองอำมาตย์โท ชุ่ม ณ บางช้าง เป็นผู้ตรวจแก้
ดร.สนอง วรอุไร อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ช่วยทำการตรวจสอบ รวบรวมหลักฐาน และจัดพิมพ์รวมเล่ม
โดยมี คุณ จริญญา พึ่งแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนในขณะนั้น
ซึ่งกำลังดำเนินการระดมทุนจัดสร้างพระราชานุสาวรีย์พระนางจามเทวี เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณในการจัดพิมพ์สำหรับแจกเป็นจำนวนถึง
๖,๕๐๐ เล่ม โดยให้ชื่อหนังสือว่า พระราชชีวประวัติ พระแม่เจ้าจามะเทวี
บรมราชนารี ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ ปิ่นธานีหริภุญชัย
ในการพิมพ์ครั้งแรกของหนังสือที่กล่าวมานี้
มิได้มีการวางจำหน่าย หนังสือทั้งหมดถูกใช้ไปในการแจกจ่ายแก่บุคคลทั่วไป โดยทางจังหวัดรับไป
๔,๐๐๐ เล่ม คณะกรรมการ พิพิธภัณฑ์ทันตนคร อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระแม่เจ้าจามเทวีรับไปอีก
๒,๐๐๐ เล่ม และอีก ๕๐๐ เล่มที่เหลือ ผู้จัดพิมพ์ได้นำไปแจกจ่ายไว้ตามสถานที่สำคัญต่างๆ
สำหรับเป็นสาธารณประโยชน์
นอกจากฉบับที่พิมพ์เผยแพร่ในพ.ศ.๒๕๒๕ นี้แล้ว คุณสุทธวารียังอ้างไว้ว่า ได้ทำการเรียบเรียงพระประวัติอีกชุดหนึ่ง และได้นำไปฝังไว้ในเขตจังหวัดลพบุรี พระประวัติชุดดังกล่าวเรียบเรียงโดยรักษาเนื้อหาที่แปลจากเอกสารโบราณทุกอย่าง
ส่วนฉบับที่นำมาพิมพ์เผยแพร่นี้ได้ตัดเนื้อหาบางส่วนออก
เป็นต้นว่าเรื่องเกี่ยวกับพิธีกรรมบางพิธีและพระราชทรัพย์ เพราะได้ตกลงกับพ่อฤาษีแก้วเอาไว้
ส่วนต้นฉบับที่ได้จากหีบไม้
ได้ฝังไว้ในถ้ำดอยขุนตาล อันเป็นที่พำนักของพ่อฤาษีแก้ว
สำหรับคุณสุทธวารี สุวรรณภาชน์
ผู้เรียบเรียงตำนานฉบับนี้ ภายหลังได้ตั้งสำนักทรงขึ้นมา
และการดำเนินการเกี่ยวกับพระนางจามเทวีของเขาในเวลาต่อมาก็มุ่งไปในทางไสยศาสตร์มากกว่าทางอื่น
จนกระทั่งถึงแก่กรรม
พระประวัติพระนางจามเทวีที่เขากล่าวว่าได้จากพ่อฤาษีแก้วนี้
ปัจจุบันยังคงเป็นที่นับถือของชาวลำพูนและเชียงใหม่โดยทั่วไป รวมทั้งตำหนักทรงต่างๆ
ที่มีผู้อ้างเป็นร่างทรงพระนางจามเทวี ก็นิยมใช้ตำนานฉบับนี้ด้วย
แต่ชาวลำพูนรุ่นเก่าที่คุ้นเคยกับตำนานพระนางจามเทวีจริงๆ
หลายท่าน
มักจะแคลงใจและมิได้ให้การรับรองพระประวัติชุดนี้เท่าใดนัก
ความเห็นของผม :
ภูมิหลังทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ดูคลุมเครือและเป็นที่เชื่อถือได้ยากครับ
อย่างไรก็ตาม ผมก็มีข้อสังเกตอันเกิดจากการหาข้อมูลภาคสนาม
และจากประสบการณ์ของผมเอง ในการเดินทางขึ้นล่องในเขตจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่มานานหลายปี
ดังจะลำดับได้เป็นข้อๆ ดังนี้
๑) บุคคลที่คุณสุทธวารีอ้างว่าเป็นเจ้าของตำนาน
คือ พ่อฤาษีแก้วนั้น อาจจะมีตัวตนจริง
ในป่าทางภาคเหนือและภาคอีสานแม้จนกระทั่งสมัยปัจจุบันนี้
ยังคงเป็นที่พำนักของผู้สูงอายุหลายท่าน ที่หลบหนีความวุ่นวายของสังคมเมืองเข้าไปปฏิบัติธรรมในป่า
ผู้สูงอายุเหล่านี้ถือศีลไม่เหมือนกัน ส่วนมากจะมีความรู้ทางโหราศาสตร์และไสยศาสตร์
และด้วยเหตุที่ท่านมิได้บวชเป็นพระภิกษุ
จึงมักถูกเรียกกันว่าฤาษี ในบรรดาฤาษีเหล่านี้ ผมเคยพบและสนทนาด้วยอยู่ ๒
ท่านในเขตจังหวัดตากและลำปาง
๒) สำหรับเอกสารโบราณที่คุณสุทธวารีอ้างว่า พ่อฤาษีแก้วได้เก็บรักษาไว้ในหีบไม้
เมื่อจะนำออกมาก็มีการจุดธูปขอและต้องเอาขวานทำลายหีบให้พังเสียก่อนนั้น
ถ้าหากว่ามีอยู่จริงดังคำอ้าง ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นเอกสารเก่าจริง
เพราะจากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสหลายท่านในลำพูน
ประวัติเกี่ยวแก่พระนางจามเทวีนั้นได้ถูกบันทึกและเรียบเรียงด้วยอักขระล้านนาอยู่หลายปกรณ์ด้วยกัน
โดยพระภิกษุและฆราวาสที่อยู่ตามวัดต่างๆ
ตัวอย่างก็เช่น ตำนานมูลศาสนา และ จามเทวีวงศ์
ที่ถูกเผยแพร่ในสมัยแรกๆ ตำนานพื้นเมืองฉบับพระมหาหมื่น วัดหอธรรม จ.เชียงใหม่ และ ตำนานพื้นเมืองฉบับใบลาน ซึ่ง
สงวน โชติสุขรัตน์ แปลจากภาษาพื้นเมืองเป็นภาษาไทยออกพิมพ์เผยแพร่
เอกสารเก่าซึ่งเป็นต้นตำนานฉบับคุณสุทธวารีนี้
ก็อาจจะเป็นหนึ่งในคัมภีร์โบราณที่เคยอยู่ในวัดแห่งใดแห่งหนึ่งก็เป็นได้นะครับ
ซึ่งภายหลังพ่อฤาษีแก้วเป็นผู้ได้ไปเก็บรักษาไว้
ท่านคงจะได้ไปทั้งหีบไม้ และก็คงจะไม่เคยเปิดอ่าน ด้วยถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจะนำออกมาแปลจึงต้องทำพิธีบูชา
(ที่จริงควรเรียกว่าขอขมา) แล้วเอาขวานทุบหีบไม้ให้พังเสียก่อน
เรื่องเช่นนี้แม้จะดูเหมือนนิยายมาก แต่หนทางแห่งความเป็นไปได้ก็พอมีอยู่เหมือนกัน
ส่วนการที่ท่านกล่าวกับคุณสุทธวารีไว้ว่า ยังมีเอกสารเช่นเดียวกันนี้อีก
๔ ฉบับ อยู่ในเขต จ.เชียงใหม่และตากนั้น ก็เป็นไปได้ว่าจะมีอยู่จริงเช่นกัน แต่อาจจะอยู่ในลักษณะที่เป็นสมุดโบราณ
และท่านได้ไปเห็นมาจากวัดในแถบนั้นก็เป็นได้
เราควรจะเข้าใจว่า เรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์ของพระนางจามเทวีนั้น
ได้เป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนในเขต จ.ตาก ลำพูน และเชียงใหม่มาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว
มิใช่เพิ่งจะมาตื่นเต้นศรัทธากันเมื่อสร้างพระราชานุสาวรีย์ถวายพระองค์ท่านแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลก ที่จะมีการบันทึกเรื่องราวของพระองค์ท่านไว้ในรูปแบบของคัมภีร์ต่างๆ
หลายสิบเล่ม กระจัดกระจายกันอยู่ในจังหวัดเหล่านี้
ซึ่งตามที่ผมได้ข้อมูลมาล่าสุด คือมีผู้กล่าวว่าตำนานพระนางจามเทวีนั้น มีอยู่มากกว่า ๓๐ สำนวนนะครับ แม้ว่าแต่ละคัมภีร์อาจจะไม่มีเนื้อหาที่สอดคล้องกัน เนื่องจากเป็นการบันทึกในชั้นหลังมากก็ตาม
และแม้ว่าจะมีคัมภีร์เหล่านี้คงเหลืออยู่มาก แต่เหตุที่มีการนำมาแปลเพียงส่วนน้อย ก็เพราะเรื่องของพระนางจามเทวีมิได้เป็นที่สนใจในทางวิชาการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประการหนึ่ง
ซึ่งตามที่ผมได้ข้อมูลมาล่าสุด คือมีผู้กล่าวว่าตำนานพระนางจามเทวีนั้น มีอยู่มากกว่า ๓๐ สำนวนนะครับ แม้ว่าแต่ละคัมภีร์อาจจะไม่มีเนื้อหาที่สอดคล้องกัน เนื่องจากเป็นการบันทึกในชั้นหลังมากก็ตาม
และแม้ว่าจะมีคัมภีร์เหล่านี้คงเหลืออยู่มาก แต่เหตุที่มีการนำมาแปลเพียงส่วนน้อย ก็เพราะเรื่องของพระนางจามเทวีมิได้เป็นที่สนใจในทางวิชาการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง แม้แต่วัดที่มีคัมภีร์เหล่านี้อยู่
ก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนมีสิ่งใดไว้ในครอบครอง
เพราะผู้ที่รู้นั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว
๓) แต่ถึงเอกสารต้นฉบับที่ว่านี้จะเป็นของเก่า
ผมก็คิดว่า ที่จริงมันอาจจะไม่เก่าเท่าใดนักหรอกครับ
หรือจะพูดให้แคบเข้า ก็คือคงไม่เก่าไปกว่าปกรณ์อื่นๆ
ที่ทางวัดต่างๆ ในลำพูนและเชียงใหม่เก็บรักษาไว้ ซึ่งเท่าที่มีผู้พบเห็น ส่วนมากจะมีอายุไม่เกิน
๒๐๐ ปี
ถ้าเราได้ต้นฉบับของเอกสารในหีบไม้มาตรวจสอบอายุ ก็คงจะง่ายขึ้นนะครับ
และก็จะช่วยให้การเรียบเรียงของคุณสุทธวารีลดความคลุมเครือลง
แต่อย่างว่านะครับ คุณสุทธวารีเขารู้เขาเห็นของเขาอยู่คนเดียว
พ่อฤาษีแก้วเขาก็อ้างว่าละสังขารไปแล้ว พยานบุคคลอื่นที่จะอ้างอิงก็ไม่มี
ความลับทั้งหมดจึงต้องตายไปพร้อมกับตัวเขา
แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการกำหนดอายุของเนื้อหาชั้นเดิมที่สุดในเอกสารฉบับนี้
โดยเทียบเคียงกับตำนานพื้นเมืองฉบับอื่นว่า ไม่ควรจะเก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ ๒๑
นั้น เห็นจะไม่เกินเลยไปนักหรอกครับ
๔) สำหรับประเด็นที่เกี่ยวกับคุณสุทธวารี และพ่อฤาษีแก้ว
โดยเฉพาะในทางที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ ผมเห็นว่าไม่ควรจะนำมาร่วมพิจารณา ในการประเมินคุณค่าของตำนานพื้นเมืองฉบับนี้นะครับ
เพราะไสยศาสตร์นั้น เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล มิได้เกี่ยวข้องกับการเรียบเรียงตำนานใดๆ
แม้คุณสุทธวารีก็อ้างถึงนิมิตเกี่ยวแก่พระนางจามเทวี เพียงในชั้นแรกที่จะได้ไปพบกับพ่อฤาษีแก้วเท่านั้น
ต่อจากนั้นไม่ว่าการแปลหรือเรียบเรียง ได้กระทำไปตามวิสัยปุถุชนทั้งสิ้น ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์
(เช่น พระนางจามเทวีปรากฏพระองค์มาบอกเรื่องราวต่างๆ หรือช่วยเติมส่วนที่ขาดหายฯลฯ)
และถ้าจะเอาเรื่องไสยศาสตร์เป็นเกณฑ์ ในการลดความน่าเชื่อถือของผู้แต่งตำนานใดๆ
แล้ว ผมเชื่อว่า ในที่สุดจะไม่มีเอกสารโบราณในประเทศไทยแม้สักฉบับเดียว ที่มีคุณค่าควรแก่การศึกษาละครับ
เพราะข้อเท็จจริงก็คือ บรรดานักปราชญ์ แม้จนพระภิกษุสงฆ์ในยุคโบราณที่มีความสามารถเพียงพอที่จะเรียบเรียงปกรณ์ต่างๆ
ขึ้นมาได้นั้น นอกจากท่านเหล่านี้จะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะเขียนอย่างลึกซึ้งแล้ว
ร้อยทั้งร้อยมักจะเป็นผู้ที่มีความรู้ทางไสยศาสตร์สาขาต่างๆ เป็นอย่างดีด้วย
เพราะไสยศาสตร์เป็นวิชาสำคัญสำหรับปัญญาชนในสมัยนั้น
ซึ่งไม่ได้อยู่ในโลกของวิทยาศาสตร์ดังเช่นสมัยของเราครับ
กรณีที่ ๒.
เนื้อหาและการอ้างอิงหลักฐานทางโบราณคดี
เนื้อความในพระประวัติฉบับนี้ เริ่มด้วยการกล่าวนำว่า
เป็นการบันทึกโดยพระพี่เลี้ยงปทุมวดี โดยสรุปไว้ในลักษณะบทคัดย่อเกี่ยวกับพระนางจามเทวี
ตั้งแต่เข้าสู่ราชสำนักละโว้จนสิ้นรัชสมัย
ต่อมา ลำดับเรื่องด้วยการขึ้นต้นการบันทึกพระชะตาพระนางจามเทวีโดยท่านสุเทวฤาษี
กล่าวข้ามไปถึงตอนพระนางจามเทวีเข้าราชสำนักละโว้ แล้วย้อนกลับสู่ภูมิหลังของพระนางสมัยอยู่กับท่านฤาษีที่ลำพูนโดยละเอียด
ดำเนินเรื่องต่อไปจนถึงสงครามโกสัมพี สมรภูมิที่วังเจ้า
รับสาส์นอัญเชิญจากลำพูน และเตรียมเสด็จออกจากละโว้พร้อมด้วยข้าราชบริพาร
เป็นอันจบภาคแรก
ภาคสอง เริ่มด้วยการส่งเสด็จโดยพสกนิกรลวปุระ
และผ่านสถานที่ต่างๆ ทรงสละเพศเป็นชีปะขาว เดินทางถึงลำพูนและเสด็จขึ้นครองราชย์
ทรงวางระเบียบการปกครอง สร้างเวียงหน้าด่าน ทรงตราอักขระรามัญขึ้นเป็นครั้งแรก
ได้ช้างผู้ก่ำงาเขียว จัดการประลองธรรมระหว่างพระเถระเมืองหริภุญไชยและละโว้ การซ้อมรบกับฝ่ายพระพี่เลี้ยง
ขุนวิลังคะพุ่งเสน้า สงครามขุนวิลังคะ ราชาภิเษกพระเจ้ามหันตยศและพระเจ้าอนันตยศ
และเบื้องปลายพระชนม์ชีพ เป็นอันจบภาคสอง
ในการเรียบเรียงตำนานทั้งสองภาคนี้
ใช้แบบแผนที่เป็นจารีตประเพณี กล่าวคือมีการลำดับวันเดือนปีตามปฏิทินทางจันทรคติเมื่อถึงเหตุการณ์สำคัญๆ
ไว้อย่างครบถ้วน และวันเวลาเหล่านี้ปรากฏว่ามีความสอดคล้องกัน
นอกจากนี้ ยังได้พยายามสอดแทรกความรู้ด้านพิธีกรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น พิธีกรรมในวาระที่เจ้าหญิงจามเทวีจะเสด็จออกสู่สงครามโกสัมพี
มีการพระราชทานพระแสงอาญาสิทธิ์
มีทั้งพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ (อ่านศิวะโองการ) หรือการระบุพระนามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏเมื่อได้รับการสถาปนาในขั้นตอนต่างๆ
แม้แต่ชื่อเพลงมโหรีที่ใช้กันในราชสำนักสมัยนั้นก็ยกตัวอย่างไว้ด้วย
คือเพลงพระบรรทม หรือเพลงเขมรพระประทม ที่เราเรียกกันสมัยนี้ว่า เขมรพวง
เนื้อหาส่วนใหญ่พยายามเรียบเรียงให้เป็นภาษาที่เก่า
มีการสอดแทรกบทสนทนา และการบรรยายเหตุการณ์สำคัญด้วยลักษณะการเขียนแบบนิยาย แม้การแสดงอารมณ์ของบุคคลต่างๆ
ก็พยายามกล่าวถึงอย่างครบถ้วน ทำให้เนื้อหาทั้งหมดมีท่วงทำนองที่ตื่นเต้น อ่านง่ายและน่าอ่าน
ทั้งยังดูเป็นจริงเป็นจังน่าเชื่อถือสำหรับคนทั่วไปอีกด้วย
ในการพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเมื่อพ.ศ.๒๕๒๕ ยังได้มีการสอดแทรกเพิ่มเติมบทกวีที่แต่งใหม่เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญในพระประวัติ
เช่นในรูปของฉันท์แบบต่างๆ ซึ่งแต่งโดย อนงค์ ชมพูรัตน์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ดร.สนอง วรอุไร ผู้ช่วยตรวจสอบค้นหาหลักฐานและจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ยังได้นำภาพถ่ายทางอากาศที่ได้รับจากภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และภาพถ่ายโบราณสถานในสถานที่ต่างๆ ที่ตำนานอ้างถึงมาตีพิมพ์ประกอบ
นอกจากนี้ ดร.สนอง วรอุไร ผู้ช่วยตรวจสอบค้นหาหลักฐานและจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ยังได้นำภาพถ่ายทางอากาศที่ได้รับจากภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และภาพถ่ายโบราณสถานในสถานที่ต่างๆ ที่ตำนานอ้างถึงมาตีพิมพ์ประกอบ
ภาพถ่ายทางอากาศล้วนแสดงให้เห็นเมืองโบราณรูปวงรีและสี่เหลี่ยมมุมมนขนาดเล็กอย่างชัดเจน
ส่วนภาพโบราณสถานที่นำมาประกอบนั้น บางแห่งก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วในปัจจุบัน
ภาพโบราณวัตถุที่น่าสนใจ เช่นจารึกพบที่เวียงหน้าด่าน
(เวียงท่ากาน) และกู่ช้าง เป็นต้น ได้ถูกนำมารวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วย
แต่ภาพโบราณวัตถุส่วนใหญ่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า และไม่มีการพิมพ์เผยแพร่ในเอกสารอื่นๆ
อีก ได้นำมาแสดงไว้อย่างมากมายในหนังสือเล่มนี้
โบราณวัตถุดังกล่าวคือประติมากรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวีโดยตรง
ตั้งแต่ช่วงปฐมวัยเลยทีเดียว ได้แก่
-พระพิมพ์รูปท่านสุเทวฤาษี
-พระรูปกุมารีเมื่อตกกลางบัวหลวง
-พระรูปกุมารีวีเมื่อชนมายุได้ ๘ พรรษา
-พระพิมพ์พระเจ้านพรัตน์, พระพิมพ์พระนางมัณฑนาเทวี
-ประติมากรรมท่านสุเทวฤาษีใช้พัดช้อนร่างทารก
-พระรูปกุมารีวีฟ้อนถวายพระเจ้าละโว้
-ส่วนพระพักตร์เจ้าหญิงจามเทวี
-พระพิมพ์พระนางจามเทวีเมื่อเสวยราชย์
-พระรูปพระนางจามเทวีเมื่อทรงเพศนักบวช
-ประติมากรรมช้างผู้ก่ำงาเขียว (มี ๓ แบบ)
-ประติมากรรมพระเจ้าอนันตยศทรงช้างผู้ก่ำงาเขียว
-พระพิมพ์พระสังฆราชหริภุญไชย
-พระพิมพ์พระสังฆราชละโว้
-ประติมากรรมรูปดวงตราดอกจันทน์, ดวงตราประจำผู้รักษาเวียง
-พระเศียรพระพี่เลี้ยงทั้งสองพระองค์
ทำจากแก้วสีชมพูและสีเขียว
-พระรูปพระนางจามเทวีเมื่อพระชนมายุ ๔๘ พรรษา
-พระรูปพระนางจามเทวีทรงปฏิบัติกรรมฐานห้ามทัพระมิงค์
-พระรูปพระนางจามเทวีเมื่อเสด็จระมิงค์นคร
-ชิ้นส่วนพระรูปเหลือเพียงพระโสณี ด้านหลังจารึกอักษรล้านนา
-พระรูปพระนางจามเทวีเมื่อเสด็จไปร่วมการประลองธรรม
-พระรูปพระนางจามเทวีเมื่อเสด็จสวรรคต (มี ๒
แบบ)
-ประติมากรรมม้าทรงที่พระนางจามเทวีทรงออกศึกโกสัมพี
-พระเศียรและพระรูปเจ้ารามราชเมื่อทรงผนวช ทำด้วยแก้วใสและแก้วสีโกเมน
พระรูป พระพิมพ์ และประติมากรรมเหล่านี้ แสดงให้เห็นแบบอย่างทางศิลปกรรมที่หลากหลาย
โดยเฉพาะพระรูปและประติมากรรมนั้นส่วนมากเป็นศิลปะที่ไม่เหมือนที่อื่น
โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ทันตนคร
อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคุณสุทธวารี สุวรรณภาชน์ และทั้งหมดยังไม่มีหลักฐานว่าได้รับการตรวจพิสูจน์โดยกรมศิลปากร
ความเห็นของผม :
การตีพิมพ์พระประวัติอย่างสมบูรณ์
ด้วยการเรียบเรียงที่น่าอ่าน ประกอบกับหลักฐานที่มีทั้งสถานที่ ภาพถ่ายทางอากาศ
และโบราณวัตถุเช่นนี้ ย่อมทำให้หนังสือชุด พระราชชีวประวัติพระแม่เจ้าจามะเทวีฯ
ฉบับพ.ศ.๒๕๒๕ เพิ่มความสมจริงและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อทางจังหวัดเป็นผู้สนับสนุนการจัดพิมพ์ดังกล่าวแล้ว
น่าจะไม่เกินเลยไปนักที่จะกล่าวว่า หนังสือเล่มนี้คงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้จังหวัดลำพูนสามารถสร้างพระราชานุสาวรีย์พระนางจามเทวีได้สำเร็จในปลายปีพ.ศ.๒๕๒๕
นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีทั้งเรื่องที่ควรเชื่อและไม่ควรเชื่อนะครับ
๑) สำนวนการเรียบเรียงของคุณสุทธวารี เท่าที่กระทำกับเนื้อหาส่วนใหญ่ในตำนานนี้เห็นได้ชัดว่า เป็นผู้มีความชำนาญในด้านการเขียน
โดยเฉพาะในลักษณะนิยาย
แต่ถึงอย่างไร ความชำนาญเช่นนี้ก็เป็นคนละส่วนกันนะครับ
กับการลำดับวันเวลาทางจันทรคติ ซึ่งจำเป็นต้องมีความรู้ทางปฏิทินโบราณ
ไม่ใช่เป็นแค่นักเขียนนิยายแล้วจะทำได้
เห็นได้ชัดว่า ถ้าเอกสารต้นฉบับของพระประวัติชุดนี้มีอยู่จริง
ลำดับวันเวลาทางจันทรคติอาจจะเป็นส่วนที่มีมาแต่เดิมก็ได้นะครับ
๒) การเรียบเรียงให้มีลักษณะเป็นนิยาย รวมทั้งการสอดแทรกบทสนทนาที่เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันเข้าไปเป็นจำนวนมาก
อาจเป็นด้วยเจตนาของคุณสุทธวารีที่จะทำให้ง่ายต่อการอ่าน และทำให้น่าอ่าน เพราะเป็นการเรียงเรียงเพื่อระดมเงินสร้างพระราชานุสาวรีย์
ถ้าหากว่าเนื้อหาเดิม มีสำนวนเช่นเดียวกับที่ใช้กันในคัมภีร์เก่าๆ
เช่น มูลศาสนา และจามเทวีวงศ์ การคงสำนวนเช่นนั้นไว้ก็จะไม่สามารถยังความประทับใจแก่คนส่วนมาก
จนระดมเงินสร้างพระราชานุสาวรีย์ได้หรอกครับ
เพราะพูดง่ายๆ คือ เราจะขอเงินจากชาวบ้าน
ไม่ใช่นักวิชาการ
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า เนื้อหาเดิมในเอกสารต้นฉบับ
(ถ้ามีจริง) อาจจะมีสำนวนที่เก่า เช่นเดียวกับฉบับพระมหาหมื่น วัดหอธรรม ก็ได้
แต่หนานทาได้เปลี่ยนสำนวนดังกล่าวนั้นเสียชั้นหนึ่งแล้วในขั้นตอนการแปล
และคุณสุทธวารีได้ปรับปรุงอีกชั้นหนึ่งในขั้นตอนการเรียบเรียง บทสนทนา ก็เน้นขึ้นมาจากของเดิมในเรื่อง
กลวิธีการเรียบเรียงเช่นนี้ ไม่เป็นการเหลือวิสัยสำหรับผู้มีทักษะในการเขียนเช่นคุณสุทธวารีที่จะสามารถกระทำได้
อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวย่อมทำให้เกิดผลเสียหลายประการ
คือ ทำให้พระประวัติชุดนี้ขาดความน่าเชื่อถือทางวิชาการไปอย่างสิ้นเชิง
เป็นประการที่หนึ่ง
ประการที่สอง การปรับสำนวนเดิมให้มีลักษณะเป็นนิยายมากขึ้น
เพิ่มอรรถรสในการอ่านมากขึ้น โดยเฉพาะการบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ อย่างได้อารมณ์และมีสีสัน เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้อ่านเป้าหมายที่มีรสนิยมในการอ่านอยู่ในระดับชาวบ้านทั่วไป
ย่อมทำให้ผู้เรียบเรียงต้องต่อเติมเสริมแต่งเพิ่มขึ้นมาก
จนที่สุด แม้แต่จะต้องแต่งเหตุการณ์ใหม่ๆ
ที่ไม่มีในสำนวนเดิมเพิ่มเข้าไป เพื่อให้เนื้อเรื่องลื่นไหล ก็ต้องกระทำครับ
และที่สำคัญคือ แม้คุณสุทธวารีจะอ้างว่าได้เรียบเรียงพระประวัติเต็มตามของเดิมไว้ด้วย
แต่เขาก็มิได้นำพระประวัติดังกล่าวนั้นออกมาเผยแพร่เพื่อเปรียบเทียบ
เขามิได้เผยแพร่ต้นฉบับ ที่เขาทำการบันทึกไว้ในคราวที่หนานทาแปลเอกสารดังกล่าวเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยครับ ที่เราจะระบุได้อย่างแน่นอนว่า
เนื้อหาตอนใดบ้างที่เป็นของมีมาแต่เดิม
วิธีค้นหาเนื้อความเดิมของเอกสารดังกล่าว (ย้ำ-ถ้าหากว่ามีจริง) ตามที่ผมใช้ใน จอมนางหริภุญไชย ก็คือดูว่า ส่วนใดบ้างที่ตรงกับตำนานพื้นเมืองฉบับอื่น และตรงกับความทรงจำของคนรุ่นเก่าในลำพูน เชียงใหม่ และลพบุรีมาก่อนการเผยแพร่ของคุณสุทธวารี และส่วนใดบ้างที่สามารถหาหลักฐานแวดล้อมมารองรับได้
วิธีค้นหาเนื้อความเดิมของเอกสารดังกล่าว (ย้ำ-ถ้าหากว่ามีจริง) ตามที่ผมใช้ใน จอมนางหริภุญไชย ก็คือดูว่า ส่วนใดบ้างที่ตรงกับตำนานพื้นเมืองฉบับอื่น และตรงกับความทรงจำของคนรุ่นเก่าในลำพูน เชียงใหม่ และลพบุรีมาก่อนการเผยแพร่ของคุณสุทธวารี และส่วนใดบ้างที่สามารถหาหลักฐานแวดล้อมมารองรับได้
และด้วยวิธีนี้ละครับ แม้ในภายภาคหน้าจะมีผู้พิสูจน์ได้ว่า
ความมีตัวตนของเอกสารต้นฉบับที่คุณสุทธวารีอ้างถึงจะเป็นเพียงจินตนาการล้วนๆ เราก็ยังพอจะประเมินได้ว่า
เนื้อหาตอนใดของเขาที่สอดคล้องกับตำนานอื่นๆ ที่มีมาก่อน และเราก็จะตั้งเป็นสมมุติฐานได้ว่า
เรื่องเช่นนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ตรงกันในตำนานพื้นเมืองดั้งเดิมหลายๆ สำนวนครับ
๓) นอกจากการต่อเติมเสริมแต่งจนทำให้ค้นหาเนื้อความเดิมได้ยากแล้ว
การให้รายละเอียดของบรรยากาศในราชสำนัก ตลอดจนประเพณีพิธีกรรมต่างๆ
ในพระประวัติชุดนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นของยุคหลังมากๆ
ซึ่งถ้าหากว่า เนื้อหาส่วนนี้มิได้เป็นสิ่งที่เพิ่มเติมเข้าไปโดยคุณสุทธวารีแล้ว
ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เอกสารต้นฉบับเรื่องนี้เป็นของที่ทำขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวบ้าน
ซึ่งเป็นคนภาคกลาง ไม่ใช่ชาวลำพูน เชียงใหม่ หรือล้านนา และเป็นบุคคลในสมัยรัตนโกสินทร์นี่เองละครับ
เพราะแบบแผนของจารีตและพิธีกรรมที่ปรากฏนั้น
แม้จะดูเหมือนของเก่า แต่ที่จริงเป็นสิ่งที่เขียนขึ้นโดยผู้แต่งที่ไม่มีความรู้ในด้านประเพณีพิธีกรรมชั้นสูงครับ
ถ้าผู้แต่งเอกสารนี้เป็นผู้อยู่ใกล้ชิดราชสำนักมาก่อน
ไม่ว่าในรัชสมัยพระนางจามเทวีหรือสมัยใด เขาจะต้องสามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
ตัวอย่างเช่น การระบุพระนามต่างๆ
เมื่อได้รับการสถาปนา และจารึกไว้ในพระสุพรรณบัฏว่า เจ้าหญิงจามเทวี ศรีสุริยวงศ์
บรมราชขัตติยนารี รัตนกัญญา ลวะบุรีราเมศวร
พระนามเช่นนี้อาจจะดูสูงส่ง และสมจริงนะครับ
ถ้ามองจากสายตาชาวบ้าน
แต่ถ้าเป็นพราหมณ์ประจำราชสำนัก หรือผู้รู้ทางพิธีกรรมชั้นสูงตามที่ควรจะเป็นจริง พระนามเช่นนี้เต็มไปด้วยความผิดพลาดครับ พยายามใช้ศัพท์ให้เชื่อมโยงกับภาษาพราหมณ์โบราณก็จริง แต่ลักลั่นและผิดความหมาย
แต่ถ้าเป็นพราหมณ์ประจำราชสำนัก หรือผู้รู้ทางพิธีกรรมชั้นสูงตามที่ควรจะเป็นจริง พระนามเช่นนี้เต็มไปด้วยความผิดพลาดครับ พยายามใช้ศัพท์ให้เชื่อมโยงกับภาษาพราหมณ์โบราณก็จริง แต่ลักลั่นและผิดความหมาย
ผู้สามารถคิดแต่งพระนามได้เพียงเท่านี้ จึงน่าจะเป็นเพียงพระสงฆ์
หรือฆราวาสนักปฏิบัติธรรมท่านใดท่านหนึ่ง ที่มีความรู้ในด้านอักษรศาสตร์แต่พอสมควรเท่านั้นละครับ
ที่เห็นได้ชัดอีกส่วนหนึ่ง คือตอนที่ว่าด้วยการประลองปัญหาธรรม ระหว่างพระสังฆราชละโว้และพระสังฆราชหริภุญไชย
ข้อธรรมที่นำมาประลองกันนั้น
ใครที่ศึกษาธรรมมากสักหน่อยจะเห็นชัดเลยนะครับ ว่าเป็นเพียงเรื่องพื้นๆ มิได้มีความลึกซึ้งหรือละเอียดประณีต
ให้สมกับเป็นปัญหาธรรมที่พระเถราจารย์ระดับพระสังฆราชในสมัยพันกว่าปีก่อน จะนำมาถกเถียงกันโดยมีบ้านเมืองเป็นเดิมพันแต่อย่างใด
ดูไปแล้วกลับเหมือนสิ่งที่พระนักเทศน์สมัยปัจจุบันนี้ใช้เทศน์สั่งสอนชาวบ้านให้สนุกครึกครื้นกันด้วยซ้ำไปครับ
ข้อนี้เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่อาจแสดงให้เห็นว่า
ถ้าเอกสารต้นฉบับนี้มีอยู่จริง ก็คงเป็นของที่แต่งขึ้นในวัดใดวัดหนึ่ง
ซึ่งอาจจะเป็นวัดในภาคกลางด้วยซ้ำไป เมื่อระยะเวลาไม่เกิน ๒๐๐ ปีก่อนหน้านี้เอง
แต่ถ้าจะถามว่า
เมื่อดูจากความสามารถในการเขียนของคุณสุทธวารีแล้ว เขาสามารถแต่งเติมเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้หรือไม่
ก็ต้องตอบว่า ได้
เพราะเขามีพื้นเพที่สนใจในการศึกษาค้นคว้าตำนานโบราณมาก่อน
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่คิดจะค้นหาประวัติพระธาตุดอยคำมาตีพิมพ์ขายเพื่อหาเงินบูรณะวัดหรอกครับ
และไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ระบุว่า ก่อนหน้าพ่อฤาษีแก้วจะบอกให้เขาเขียนพระประวัติพระนางจามเทวีนั้น
พระประวัติดังกล่าวได้มีผู้เรียบเรียงมาก่อนแล้ว ๒ ท่าน คือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระเถระรูปหนึ่งที่วัดเจดีย์เจ็ดยอด
นี่คือเขาก็ได้ทำการค้นคว้ามาในระดับที่มากพอสมควรนะครับ
เพราะไม่ใช่เรื่องที่รับรู้กันทั่วไป
ด้วยเหตุดังกล่าว ผมจึงมิได้นำสาระด้านพิธีกรรม
ประเพณี รายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ
และรายพระนามดังกล่าวมาร่วมวิเคราะห์ในภาคสันนิษฐานของ จอมนางหริภุญไชย
๔) หลักฐานที่ได้มีการจัดหามาสนับสนุนการรวมเล่มพระประวัติชุดนี้
เช่นภาพถ่ายทางอากาศที่ ดร.สนองได้มาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รวมทั้งภาพของศิลาจารึกบางชิ้น โดยอายุและความเก่าแก่แล้วก็นับว่าเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้อย่างแท้จริงว่าเป็นของที่เกิดร่วมสมัยพระนางจามเทวี
ส่วนภาพโบราณสถานนั้น ส่วนใหญ่น่าจะเป็นโบราณสถานที่สร้างขึ้นในยุคหลังมากกว่า
แต่ในความเห็นของผมแล้ว คงไม่มีอะไรเหลวไหลไปกว่าภาพโบราณวัตถุจากพิพิธภัณฑ์ทันตนครทั้งหมดละครับ
เพราะแทนที่จะช่วยสนับสนุนให้พระประวัติชุดนี้มีความหนักแน่นขึ้นในทางวิชาการ กลับเป็นส่วนสำคัญที่ลดความน่าเชื่อถือในพระประวัติชุดนี้ลงอย่างสิ้นเชิง
เพราะโบราณวัตถุเหล่านี้ ทั้งหมดเห็นได้ชัดครับว่าเป็นของปลอม
หรือเป็นของที่ทำในยุคหลังนี้เอง
แม้จะมีบางชิ้นที่อาจเป็นของจริง และเป็นของเก่าได้บ้าง
แต่ก็ไม่มีทางที่จะเก่าถึงรัชสมัยพระนางจามเทวี หรืออาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ
กับพระนางเลยครับ
ยกตัวอย่างเช่น :
- โบราณวัตถุประเภทพระพิมพ์ทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่าเป็นของใหม่ที่สร้างเลียนแบบพระพิมพ์โบราณ แล้วเพิ่มลวดลายต่างๆ
เพื่อให้ดูแตกต่างจากพิมพ์เดิม
เช่น พระรูปพระเจ้านพรัตน์ และพระนางมัณฑนาเทวีแห่งกรุงละโว้
น่าจะเอาแบบมาจากพระพิมพ์ชุดพระร่วงหลังลายผ้า ซึ่งเป็นพระกรุที่มีชื่อเสียงของ จ.ลพบุรีนั่นเอง
พระรูปพระนางจามเทวีเมื่อเสวยราชย์ น่าจะได้แบบอย่างจากพระโคนสมอปางประทับนั่งห้อยพระบาทสมัยอยุธยา
เป็นต้น
- ประติมากรรมรูปบุคคลและรูปสัตว์ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าเป็นของสร้างใหม่ในสมัยปัจจุบัน
โดยใช้ช่างหลายๆ คนช่วยกันผลิต ทำให้เกิดรูปแบบศิลปะและฝีมือที่แตกต่างกัน
แต่รูปแบบทางศิลปกรรมเหล่านี้ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับศิลปะทวารวดี
อันเป็นศิลปะร่วมสมัยกับพระนางจามเทวี และไม่อาจเทียบได้กับแบบอย่างสกุลช่างทางศิลปะใด ที่เป็นของโบราณทั้งสิ้นนะครับ
แม้ว่าบางชิ้นจะพยายามทำเลียนแบบ หรือได้แนวความคิดมาจากของโบราณก็ตาม
การจับผิดประติมากรรมพวกนี้สามารถทำได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้ความรู้ทางศิลปกรรมมากนัก เช่น :
- พระรูปกุมารีวีฟ้อนรำถวายพระเจ้ากรุงละโว้ ทำเป็นตุ๊กตาเด็กสาวห่มสไบนุ่งผ้าจีบหน้านางแบบรัตนโกสินทร์
ลักษณะเหมือนงานหัตถกรรมที่ระลึกสำหรับขายนักท่องเที่ยว
- ช้างผู้ก่ำงาเขียวทั้งหมดทุกชิ้น ก็เป็นฝีมือช่างหัตถกรรมของที่ระลึกเช่นกัน
- ประติมากรรมบางชิ้นฝีมือหยาบมาก จนเหมือนงานปั้นดินเหนียวของเด็กๆ
หรือตุ๊กตาที่ใช้ทำพิธีไสยศาสตร์ เช่น พระรูปพระนางจามเทวีลักษณะหันหน้าตรง ซึ่งฉลองพระองค์ไม่เหมือนกันเลยสักรูปเดียว
บางรูปยังมีพระนามเป็นตัวอักษรไทยสมัยปัจจุบันปรากฏอยู่อย่างชัดเจน
- ประติมากรรมเจ้าอนันตยศทรงช้างผู้ก่ำงาเขียว
เอาแบบมาจากประติมากรรมเทวดาทรงช้าง
ที่มีขายกลาดเกลื่อนในตลาดพระท่าพระจันทร์สมัยนั้น
- ประติมากรรมอื่นๆ โดยเฉพาะศีรษะบุคคลและรูปบุคคลที่ทำด้วยแก้วนั้น
น่าจะมาจากพระพุทธรูปที่ทำจากแก้วสีต่างๆ
ที่นิยมสร้างในภาคเหนือมาแต่เดิมนั่นเอง
ชิ้นส่วนพระพุทธรูปเหล่านี้ แม้บางชิ้นอาจจะเป็นของเก่าได้บ้าง
แต่ก็ไม่สามารถจะนำมาอธิบายว่าเป็นรูปบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวีได้ครับ
แม้ว่า การที่พิพิธภัณฑ์เอกชนสักแห่งหนึ่ง จะสามารถครอบครองโบราณวัตถุสำคัญที่ไม่มีอยู่ในกรมศิลปากรนั้นจะเป็นไปได้
แต่ผมว่าคงไม่ใช่สำหรับพิพิธภัณฑ์ทันตนครแห่งนี้
เพราะถ้าโบราณวัตถุที่นำมาเผยแพร่กันนี้เป็นของเก่าจริง
ประวัติศาสตร์เกี่ยวแก่พระนางจามเทวีย่อมจะต้องพลิกผันไปมากแล้วอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายปีพ.ศ.๒๕๔๕ ซึ่งผมได้เดินทางไปลำพูนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม
ก็ได้ทราบว่าพิพิธภัณฑ์ทันตนครแห่งนี้ได้ร้างไปแล้ว เพราะหลังจากการเสียชีวิตของคุณสุทธวารี
สุวรรณภาชน์ ก็ไม่มีผู้ดำเนินการต่อ โบราณวัตถุซึ่งคงเป็นของทำขึ้นใหม่ทั้งหมดก็กระจัดกระจายสูญหายไปสิ้น
การที่พระประวัติชุดนี้
มีทั้งเรื่องที่ควรเชื่อ และเรื่องที่ไม่ควรเชื่อปะปนคละเคล้ากันโดยตลอด ดังที่ผมได้แจกแจงมาพอสังเขปนี้ ทำให้เป็นการง่ายที่จะเหมารวมว่าเป็นพระประวัติที่นำมาใช้ทางวิชาการไม่ได้
แต่ผมได้แสดงให้เห็นแล้วนะครับว่า ที่จริงยังมีอะไรบ้างที่เราควรจะสนใจ
หรือนำมาใช้ประโยชน์
………………………
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
ดูโบราณวัตถุทั้งหมดแล้วไม่น่าเชื่อเลยค่ะ อาจารย์ ว่าคนสมัยนั้นจะหลงเชื่อกัน
ReplyDeleteคนไทยเราห่างพิพิธภัณฑ์ครับ ถ้ามีการปลูกฝังให้มีความรู้ความเข้าใจ และความรักในของเก่าของโบราณกันมากกว่าที่เป็นอยู่ นอกจากจะช่วยให้มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์แล้วยังทำให้ไม่ถูกหลอกง่ายๆ ด้วยครับ
Deleteถ้าไม่มีพื้นฐานความรู้ที่หลากหลายมากๆ คงวิเคราะห์ไม่ได้แบบนี้แน่เลยค่ะ
ReplyDeleteใช่ครับ ถึงจะเป็นการวิเคราะห์ในเรื่องประวัติศาสตร์-โบราณคดี ก็จะรู้อยู่แค่ประวัติศาสตร์-โบราณคดีไม่ได้
Deleteให้ข้อมูลและความรู้ดีมากค่ะ
ReplyDeleteขอบคุณครับ
Deleteเป็นคุ้งเป็นแควจริงๆ คะโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑ์ทันตนคร
ReplyDeleteพูดตามตรงนะครับ ตัวตำนานเองก็ดูหมกเม็ด ปิดบังที่มาที่ไป แล้วยังมาทำอย่างนี้กันอีก เหมือนเป็นแก๊งลวงโลกยังไงก็ไม่ทราบครับ
Delete